จริง ๆ แล้วประกันเป็นเพียงแค่หนึ่งในเครื่องมือของการบริหารความเสี่ยง
เราจึงไม่ควรเริ่มต้นเรื่องประกันด้วยเรื่องสินค้าการประกันในทันที แต่ควรเริ่มด้วยการถามคำถามตนเองเรื่อง “ความเสี่ยง” ที่เรากังวลก่อน
เพราะในหลาย ๆ ครั้ง ความเสี่ยงบางเรื่อง อาจจะ “ไม่จำเป็นต้องซื้อประกัน” เลยก็ได้สำหรับเรา ถ้าเข้าใจ และยอมรับความเสี่ยงของตัวเองได้ *ในท้ายบทความจะบอกวิธีตัดสินใจที่ผมชอบด้วย
ทีนี้เวลาพูดถึงความเสี่ยง คำถามพวกนี้อาจจะดูไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่
บางคนอาจจะอึดอัด เพราะเล่นกับความกลัวของคนมากเกินไป
แต่สิ่งที่แน่นอนของชีวิตคือความไม่แน่นอน
ในความเป็นจริงไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราเมื่อไหร่บ้าง
การมีแผนรองรับกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดการณ์ฝัน เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือลดแรงกระทบ
จึงเป็นหัวใจหลักของการวางแผนความเสี่ยง ตั้งแต่ตอนที่ความเสี่ยงเหล่านัั้นยังไม่เกิดขึ้นครับ
เพราะฉะนั้นผมอยากชวนให้เพื่อน ๆ ได้ลองมาตอบคำถามเหล่านี้ และวางแผนให้กับตนเองครับ
ทีนี้แล้วใน คน ๆ นึงมีความเสี่ยงหรืออะไรบ้างล่ะ?

1. ความเสี่ยงเรื่อง ชีวิตและสุขภาพ
แบ่งออกเป็น 3 เรื่อง หลัก ๆ คือ เสียชีวิต โรคร้ายแรง และสุขภาพ
ความเสี่ยง และผลกระทบจากการเสียชีวิต
หากเราเสียชีวิตก่อนวัยอันควร คนในครอบครัว หรือคนที่เราดูแลอยู่ เค้าจะดำเนินชีวิตต่ออย่างไร?
ภรรยา/สามีจะต้องรับภาระอะไรเพิ่มบ้าง?
พ่อแม่ที่เราส่งเงินดูแลเขาตอนนี้เขาจะดำเนินชีวิตต่ออย่างไร?
เงินทุนที่เราเตรียมไว้ตอนนี้จะพอให้ลูกจะได้รับการศึกษาตามที่เราหวังไว้หรือเปล่า?
ค่าเสียโอกาสของโอกาสในการทำงานในชีวิตที่เหลือตามอายุขัยคาดการณ์ของเราคิดว่าควรเป็นเท่าไหร่?
หุ้นส่วนของเรา หากเค้าเสียชีวิตไปก่อน จะกระทบกับธุรกิจของเรามากแค่ไหน?
ความเสี่ยง และผลกระทบจากโรคร้ายแรง
หากเราโชคร้ายเป็นโรคในกลุ่มโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง เราได้เตรียมจัดการความเสี่ยงเรื่องนี้ไว้ยังไงบ้าง
เรื่องพวกนี้เป็นแล้วอาจไม่ค่อยน่ากังวลเท่าเป็นแล้วไม่ตาย
เราวางแผนไว้ว่าจะดูแลตัวเองเรื่องเงินอย่างไรบ้าง ค่าสถานพยาบาล ค่ายา ค่าอุปกรณ์ ค่าคนดูแล
ความเสี่ยง และผลกระทบด้านสุขภาพ และอุบัติเหตุ
จริง ๆ เรื่องนี้ก็คือการวางสวัสดิการด้านสุขภาพให้กับตัวเองครับ
ในปัจจุบันนี้สิทธิ์สวัสดิการรัฐเพียงพอต่อความต้องการของเราหรือไม่ โอเคกับการรอคิวนานไหม อยากได้รับการบริการอย่างไร อยากได้รพ.รัฐ หรือ เอกชน?
ถ้าเลือกรพ.รัฐฯ
เราอยากได้ยา และเข้าถึงหัตถการตามสิทธิ์พื้นฐานทั้งหมดเลยไหม หรืออยากมีงบประมาณไว้เบิกยานอกบัญชียาหลักเพิ่มเติม
ยาบางชนิด สิทธิ์บัตรทอง ประกันสังคม เบิกตรง ไม่มีเหมือนกันครับ เช่น การรักษาโรคมะเร็งบางชนิดสามารถใช้ยามุ่งเป้าได้ ผลข้างเคียงอาจน้อยกว่า แต่จะไม่สามารถเบิกได้
ค่าอุปกรณ์สิ้นเปลืองบางอย่างที่ใช้ในการทำหัตถการทางการแพทย์ หรือการผ่าตัด ที่เราไม่สามารถเบิกได้เราวางแผนเรื่องนี้ไว้อย่างไร
ถ้าเลือกรพ.เอกชน
การรักษาในรพ.เอกชนส่วนใหญ่มักให้บริการที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรอคิว ห้องนอน การผ่าตัดบางอย่างที่เราอาจมีทางเลือกเพิ่มขึ้นได้ เช่น เลือกผ่าแบบเปิดหน้าท้อง หรือแบบ ส่องกล้อง (Minimal Invasive)
แต่ก็แลกมากับค่ารักษาที่ราคาสูงเช่นกัน
หากมีสิทธิ์ และสวัสดิการของที่ทำงานแล้ว
ต้องถามตนเองเพิ่มว่าจะทำงานที่นี่ไว้ตลอดเลยไหม มีโอกาสย้ายงานไหม
หากเกิดอุบัติเหตุ หรือภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพแล้วเราไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เรามีคนรู้จัก เราเตรียมเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง
เราอยากให้สวัสดิการเรื่องสุขภาพติดตัวกับเราไปทุกที่ โดยไม่ขึ้นกับที่ทำงานของเราหรือไม่
อย่าลืมว่าสวัสดิการจากที่ทำงานไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด หากเราเปลี่ยนงาน หรือคำพูดที่เราชอบเรียกติดปาก คือ “สวัสดิการติดโต๊ะ”
เลือกทั้งคู่ไปเลย
บางคน เข้าถึงสวัสดิการของรพ.รัฐที่ดีแล้ว และมีกำลังที่จะจ่ายเพื่อเลือกรพ.เอกชนด้วย
เพื่อใช้ข้อดี และกลบข้อเสียของทั้ง 2 อย่าง
เช่น โรคยาก ๆ ซับซ้อน เราเลือกเข้าโรงพยาบาลภาครัฐ ยินดีรอคิวเพื่อได้รักษากับอาจารย์แพทย์
ส่วนโรคที่ไม่ซับซ้อนมาก ไม่อยากรอนาน ก็เลือกเข้าเอกชน
จะเห็นได้ว่านี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของเราที่ต้องวางแผน
แต่ก็อย่าลืมว่าสุขภาพเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญสำหรับการประกัน
ถ้าสุขภาพดี เราคือ “ผู้เลือก” [ใช้ options ไหนก็ได้ข้างบน]
แต่ถ้าสุขภาพไม่ดี เราจะกลายเป็น ”ผู้ถูกเลือก“ โดยทันที
เพราะหากเราสุขภาพไม่ดี หรือมีประวัติติดตัวแล้ว ค่าใช้จ่ายในการทำประกันจะยิ่งเพิ่มขึ้น หรืออาจถึงขั้นบริษัทประกันไม่รับทำประกันครับ
2. ความเสี่ยงเรื่อง ทรัพย์สิน
บ้าน
เราได้วางแผนรองรับกับการคุ้มครองความเสี่ยงจากไฟไหม้ น้ำท่วม หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ ไว้อย่างไรบ้าง?
ยิ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาเราจะเห็นหลายคนกลับให้ความสนใจเรื่องความเสี่ยงมากขึ้น แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงน้อยก็ตาม
รถยนต์
เป็นอีกหนึ่งทรัพย์สินที่สำคัญ หากเกิดความเสียหายเราวางแผนเตรียมความเสี่ยงเรื่องในส่วนนี้อย่างไร
3. ความเสี่ยงเรื่อง อาชีพการงาน
ความเสี่ยงที่จะตกงาน
หากเราตกงานขึ้นมา เราได้วางแผนเตรียมรองรับค่าใช้จ่ายในช่วงที่ไม่มีงานทำหรือไม่?
ยิ่งหากเรามีรายได้จากช่องทางเดียว ความเสี่ยงอาจมากขึ้น เงินหรือแผนที่ต้องเตรียมอาจต้องคลอบคลุมมากขึ้น
ความเสี่ยงที่จะขาดรายได้หากเราป่วยนอนรพ.
ในบางอาชีพจะได้ค่าตอบแทนตามชั่วโมงที่ทำงานด้วย อย่างเช่น แพทย์ ทีนี้ถ้าเราเกิดป่วยต้องนอนรพ.ขึ้นมา รายได้ส่วนนี้ของเราจะหายไป
เราได้เตรียมแผน หรือเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินไว้เผื่อตรงนี้หรือยัง
ความเสี่ยงเรื่องวิชาชีพ
ถ้าเราผ่าตัดผิดพลาดและเกิดการฟ้องร้องขึ้นเราได้วางแผนความเสี่ยงในเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง?
ผมเชื่อว่าไม่มีหมอคนไหนอยากทำร้ายคนไข้
แต่ลองนึกภาพว่าหมอผ่าตัดคนไข้ไป 10,000 คน การรักษาดีหมดเลย
แต่คนที่ 10,001 เราดันพลาด แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แม้หมอจะเก่งมาก ๆ แล้วก็ตาม
เราได้วางแผนเรื่องความเสี่ยงในการความรับผิดชอบวิชาชีพการเตรียมตัวรองรับความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้อาชีพไว้อย่างไร?

รู้ความเสี่ยงตนเอง แล้วยังไงต่อ?
หลังจากเรารู้เรื่องความเสี่ยงต่าง ๆ ของเราแล้ว เราก็มาดูครับ ว่า
เราจะ “รับความเสี่ยงตรงนั้นไว้เอง (เตรียมเงินสำรองไว้เอง)” หรือ “ให้ผู้อื่นแบกรับความเสี่ยงไว้ (บริษัทประกัน)”
โดยผมมีหลักการง่าย ๆ เพียง 3 ข้อ นั่นคือ
Impact: ผลกระทบ มูลค่าความเสียหายที่เราได้รับหากเกิดเหตุการณ์นั้น ๆ
Probability: โอกาสหรือความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุนั้น ๆ
Cost of Insurance: ค่าใช้จ่ายในการประกันภัย เราจ่ายไหวใช่ไหม เทียบกับการสำรองเงินเองเป็นอย่างไร
ยกตัวอย่างจากเหตุการ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน
เช่น ความเสี่ยงเรื่องบ้านพังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว
Impact เป็นอย่างไร? => สูง
Probability => โอกาสเกิดน้อยมาก
Cost of Insurance=> ถ้าบ้านของเราราคา 5,000,000 บาท ค่าประกันตกปีละประมาณ 8,000 บาท
หากเราเลือกจะรับความเสี่ยงไว้เอง เราต้องเก็บเงินเพิ่มสำรองฉุกเฉินสำหรับบ้านพังจากภัยธรรมชาติ ปีละกี่บาท? กี่ปีถึงจะได้ 5 ล้าน? มองอีกมุมค่าการประกันภัยจากภัยธรรมชาติราคาปีละ 8,000 บาท
หากเราจะเก็บเงิน 8,000 บาท ต่อปี เราจะต้องเก็บเงินกี่ปีจึงจะได้ 5 ล้านบาท?
คำตอบ คือ 625 ปี
เพราะฉะนั้น กรณีนี้เราโอเคกับการเตรียมเงินสำรองไว้เอง หรือให้คนอื่นช่วยแบกรับความเสี่ยงในบริบทนี้ล่ะ?
จะเห็นได้ว่า เรายังไม่ได้คุยเรื่องแบบประกันเลย
เพราะรากฐานของประกันจริง ๆ แล้วมันต้องเริ่มจากเรื่องความเสี่ยงก่อน ซึ่งแต่ละคนรับได้ความเสี่ยงในแต่ละเรื่องได้ไม่เท่ากัน
ดังนั้น ก่อนซื้อประกัน ลองวางแผนความเสี่ยงให้ตนเองก่อน จะได้เข้าใจความต้องการของตนเองครับ
ในบทความถัดไปเดี๋ยวผมจะมาแชร์ครับว่า Universe ของแบบประกันหลัก ๆ มีกี่แบบบ้าง