8 เรื่องที่ควรรู้ และระวังก่อนการทำประกัน

ไหน ๆ เราก็เขียนเรื่องการวางแผนความเสี่ยงและการประกันไปแล้ว

วันนี้ขอมาแวะเรื่องประกันกันต่อ ในหัวข้อ “8 เรื่องที่เราต้องรู้และควรระวังก่อนการทำประกัน” ครับ

เพราะการทำประกันไม่ใช่แค่การจ่ายเบี้ยประกันแล้วจบไป แต่มีหลายเรื่องที่เราต้องเข้าใจและระวังไว้ เพื่อให้เราสามารถวางแผนความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเองได้

และป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจตามมาในอนาคตจากการที่เราไม่เข้าใจแบบประกันที่เราถือครับ

1. เบี้ยประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นตามอายุ

ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง ที่เป็นสัญญาเพิ่มเติมพ่วงกับประกันสุขภาพ

เบี้ยจะเพิ่มตามอายุทุก ๆ 5 ปี เมื่ออายุลงท้ายด้วย 1 และ 6 เป็นปกติครับ

ซึ่งเพิ่มมากน้อยแค่ไหน ก็จะขึ้นอยู่กับประวัติสุขภาพ ณ วันที่เราทำประกันด้วยครับว่าสุขภาพเราดีแค่ไหน

เพราะฉะนั้นอย่าลืมวางแผนการเงินเตรียมเผื่อไว้สำหรับช่วงที่เบี้ยสูงขึ้นด้วยครับ

2. หากมีประวัติสุขภาพ ควรแถลงให้หมด

เคยตรวจอะไรมา ผลเป็นอย่างไร มีโรคอะไรที่ยังเป็นอยู่ไหม แม้ผิดปกติเล็กน้อย ก็ควรแถลงให้หมด

การไม่แถลงถือว่าเป็นการเรียกปกปิด เป็นเหตุให้บริษัทประกันสามารถบอกล้าง และสัญญาเป็นโมฆียะในภายหลังได้ครับ

ปกติระยะเวลาที่บริษัทจะบอกล้างได้คือภายใน 2 ปี หากเราปกปิด/แถลงเท็จ แล้วบริษัทสืบเจอครับ เช่น เคยผ่าตัดไส้ติ้ง แต่แถลงไปว่าไม่เคย ถ้าสืบเจอภายในสองปีนี้ก็สามารถถูกบอกล้างสัญญาได้ครับ

บริษัทจะคืนเบี้ย เหมือนเราไม่เคยทำประกันมาก่อน

ทีนี้ปัญหาจะอยู่ที่ว่า งั้นเราก็เงียบ ๆ ไม่ต้องเคลม 2 ปี สิ บริษัทจะได้ไม่ต้องมาสืบเยอะ และพอผ่าน 2 ปีไปเราก็รอดแล้ว

ตรงนี้ต้องอย่าลืมด้วยครับว่าประกันสุขภาพไม่ว่าจะบริษัทไหนเป็นประกันแบบ “สัญญาปีต่อปีที่ต่อสัญญาอัตโนมัติ” เพราะฉะนั้นบริษัทประกันสามารถ “ไม่ต่อสัญญา” เราได้

แต่ก็ไม่ใช่ว่าบริษัทจะบอกเลิกได้ตามใจชอบครับ มันมีเงื่อนอยู่ 3 ข้อตามเกณฑ์ New Health Standard ของคปภ.ที่บริษัทมีสิทธิไม่ต่อสัญญาเราคือ

  1. ผู้เอาประกันแจ้งข้อมูลเท็จ หรือปกปิดบิดเบือนข้อมูลประวัติการรักษาพยาบาลแก่บริษัทประกันตั้งแต่แรก
  2. ผู้เอาประกันเรียกร้องผลประโยชน์ในส่วนการรักษาพยาบาลที่ไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์
  3. ผู้เอาประกันเรียกร้องผลประโยชน์ค่าชดเชยจากการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลรวมกันทุกบริษัทเกินกว่ารายได้ที่แท้จริง

เพราะฉะนั้นแม้จะพ้น 2 ปีไปแล้ว แต่ถ้าบริษัทประกันสืบได้ว่าเราแถลงเท็จ ปีต่อไปเค้าก็สามารถบอกเลิกสัญญาได้ครับ แต่ก็จะทำให้ในอนาคตทำประกันยากขึ้นด้วย

3. อย่าซื้อประกันเพราะภาษีเฉย ๆ โดยเฉพาะประกันออมทรัพย์

การวางแผนการประกันคือการบริหารความเสี่ยง เพราะฉะนั้นเรื่องความเสี่ยงต้องมาก่อนครับ

ส่วนลดหย่อนภาษีคือผลพลอยได้

บางคนไปโฟกัสเพิ่มลดหย่อนภาษีเฉย ๆ สุดท้ายได้แบบประกันที่ไม่ได้ตรงตามความเสี่ยงที่ตนเองต้องการจริง ๆ

โดยเฉพาะประกันออมทรัพย์เพื่อลดหย่อนภาษีอย่างเดียว ซึ่งส่วนตัวผมไม่ค่อยแนะนำครับ

ต้องเล่าแบบนี้ก่อนครับการวางแผนภาษีเป็นส่วนนึงของการวางแผนการเงิน

ถ้าจำรูปสามเหลี่ยมพีระมิดทางการเงินของเราได้

สังเกตจะเห็นได้ว่า “การวางแผนภาษี” คือเส้นที่ล้อไปกับการวางแผนการเงินในแต่ละด้าน แต่ ไม่ได้เป็นเรื่องหลัก หรือรากฐานในการวางแผนการเงิน

หมายความว่าเราควรที่จะวางแผนการเงินในเรื่องที่สำคัญกว่าก่อน และค่อยเอาเรื่องภาษีไปจับครับว่าเราจะลดหย่อนได้อย่างไรบ้าง

ดังนั้น ถ้าจะซื้อประกันออมทรัพย์ ย้อนกลับไปถามตัวเองก่อนว่าเราออมเพื่ออะไร?

เพราะ ประกันออมทรัพย์ ถูกออกแบบมาเพื่อให้ช่วยประกัน “การออม” ว่าเราจะออมเงินไปถึงเป้าหมายแน่ ๆ หากเราจ่ายเบี้ยประกันครบ

การซื้อประกันออมทรัพย์ควรเริ่มจากการพิจารณาเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคลในด้านการออมก่อน เช่น การออมเพื่อการดาวน์บ้าน หรือการออมเพื่อเก็บเงินเป็นค่าการศึกษาของบุตร

ซึ่งในบางกรณีเราอาจจะแค่ต้องการฝากเงินในธนาคารเฉย ๆ ก็ได้ เมื่อเทียบกับสภาพคล่องที่ต้องเสียไป กับภาษีที่ลดไปได้ เพราะอย่าลืมว่าเงินในประกันออมทรัพย์ไม่ได้เอาออกมาได้เลยทันทีนะครับ และเป็นภาระผูกพันธ์ที่เราต้องส่งเบี้ยให้ครบกำหนดสัญญาด้วย

ดังนั้นการซื้อสินค้าทางการเงินเพียงเพื่อลดหย่อนภาษี อาจทำให้คุณไม่ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงิน และอาจเสียโอกาสในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือซื้อแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองที่คลอบคลุมกว่าไปครับ

สุดท้าย ในเรื่องการวางแผนการเงิน ถ้าเราเอาเรื่องภาษีตั้งอย่างเดียว เราจะไม่เหลือเงินไปทำอย่างอื่นที่เป็นสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ นอกเหนือจากที่สรรพากรเขาอนุญาตให้เราเอาไปลดหย่อนได้เลยนะครับ เช่น เปิดร้านกาแฟ เปิดคลินิก ลงทุนหุ้นรายตัว

นอกจากนี้การจะเวนคืนกรมธรรม์เดิมแล้วเอางบไปซื้อประกันแบบใหม่เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่ต้องการภายหลัง อาจทำให้สุดท้ายให้เราเสียค่าใช้จ่ายไม่คุ้มกับภาษีที่ลดหย่อนไปอีกด้วย

4. ระวังประกันสุขภาพอย่าพ่วงสะสมทรัพย์

เรื่องนี้เป็นจุดที่ตายอีกจุดที่เห็นบางคนพลาดมาครับ สืบเนื่องมาจากเหตุผลข้อก่อนหน้านี้นี่แหละครับ

คือซื้อประกันสะสมทรัพย์เพราะหวังจะลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ก็อยากให้ความคุ้มครองเรื่องสุขภาพด้วย จึงเพิ่มประกันสุขภาพเป็นสัญญาเพิ่มเติมไปในประกันสะสมทรัพย์ที่เป็นแบบหลัก

ปัญหามันจะอยู่ตรงนี้ครับคือ ถ้าประกันสะสมทรัพย์ครบสัญญาแล้ว ประกันสุขภาพก็จะถูกยกเลิกไปด้วย

ถ้าเรายังต้องการความคุ้มครองด้านสุขภาพอยู่ เราจะต้องทำประกันใหม่ทั้งหมด และต้องแถลงประวัติใหม่ด้วย!

แล้วถ้ายิ่งระหว่างที่เราถือกรมธรรม์ประกันสะสมทรัพย์ + สุขภาพ เราป่วยเข้าโรงพยาบาลหวังใช้สิทธิประกันของเรา (ก็ทำประกันไว้แล้วนี่ เคลมให้คุ้มสักหน่อย) ก็จะกลายเป็นประวัติติดตัวอีก การทำประกันในครั้งใหม่ก็จะโดนเพิ่มเบี้ย และอาจถึงขั้นถูกปฏิเสธการทำประกันได้เลยครับ

เพราะฉะนั้นประกันสุขภาพควรเลือกพ่วงไว้กับประกันชีวิตที่มีสัญญาให้นานที่สุด เพื่อเราจะได้ไม่ต้องมาแถลงประวัติสุขภาพใหม่ทั้งหมดครับ

5. แบบประกัน Unit-linked ไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการประกันควบการลงทุน

Unit-linked คือประกันชีวิตควบการลงทุน คือประกันที่รวม ความคุ้มครองชีวิต และการลงทุน เอาไว้ในกรมธรรม์ เดียวกัน ไม่ใช่ การลงทุนควบการประกันครับ

โดยเบี้ยประกันที่เราจ่ายไป ส่วนนึงจะถูกนำไปเป็นค่าการประกันภัย และอีกส่วนนึงจะถูกนำไปลงทุน

ข้อดีคือ เราจะเห็นค่าใช้จ่ายของเบี้ยประกันทุกบาทว่าถูกนำไปใช้เป็นค่าอะไรบ้างเท่าไหร่ มีความยืดหยุ่นในการปรับเพิ่ม/ลด เบี้ยประกัน ตามจังหวะของชีวิตที่มีความต้องการด้านความคุ้มครองที่ไม่เหมือนกัน

นอกจากนี้ยังสามารถทำไว้เป็นแผนเกษียณระยะยาวในเรื่องประกันสุขภาพตอนแก่ โดยการเอากองทุนใน Unit-linked ที่เหลือไปจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณครับ

แต่ข้อเสียก็คือเมื่อมีการลงทุนเข้ามาเกี่ยวด้วย “ความไม่แน่นอน” ก็จะเป็นเรื่องธรรมชาติครับ

นอกจากนี้จะมีความซับซ้อนในเงื่อนไขแบบประกันมากกว่าประกันชีวิตแบบอื่น ๆ ที่ผู้เอาประกันจะต้องทำความเข้าใจครับ ตรงนี้ขอเก็บไว้มีโอกาสเขียนในบทความถัด ๆ ไปครับ

ดังนั้นหากเงินในส่วนที่ลงทุนเกิดการขาดทุนทางมูลค่าของกองทุนในช่วงนั้น อาจมีเงินไม่พอต่อการจ่ายค่าเบี้ยประกันได้ ทำให้เราอาจต้องเติมเงินเข้าพอร์ตเพื่อจ่ายค่าเบี้ยประกันครับ

6. อย่าพึ่งตัวแทนมากเกินไป

อย่างแรกแนะนำให้เลือกตัวแทนให้ดีครับ ของแถม service อะไรต่าง ๆ อาจจะไม่ต้องเยอะ

แต่ให้เน้นตัวแทนที่มีความรู้ มีจรรยาบรรณ และให้ผลประโยชน์เราแบบ WIN WIN ไม่ใช่เอาแต่ผลประโยชน์เข้าตนเองครับ

นอกจากนี้ให้ระวังการซื้อประกันผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่นทางโทรศัพท์ หรือผ่านธนาคาร ตรงนี้เป็นไปได้ว่า อาจจะไม่มีตัวแทนดูแลโดยตรง อาจทำให้การอำนวยความสะดวกในเรื่องของขั้นตอนการเคลมยุ่งยากกับเราได้

อย่างไรก็ตามแม้ การเลือกตัวแทน จะเป็นสิ่งที่สำคัญ และได้ตัวแทนที่ดีจริง ๆ ให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลเราไปตลอด

แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า ไม่มีใครอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ตัวแทนอาจจะเสียชีวิตก่อนเราก็ได้ (อันนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ 555) หรือบางทีตัวแทนที่เค้าเคยขายเรา อาจมีเหตุให้ออกจากอาชีพไป เราก็ต้องรู้กรมธรรม์ของตัวเองครับ

ท่องไว้เสมอว่า “ตัวแทน” คือเอเจนท์ คือคนกลาง ที่พาบริษัท และเรา (ลูกค้า) มาเจอกันครับ

เพราะฉะนั้นศึกษาแบบประกันของตนเองให้ดีไว้ด้วยจะดีที่สุดครับ อนาคตอะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าพึ่งคนอื่นเพียงอย่างเดียวครับ

7. ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกัน

นอกจากเรื่องตัวแทนแล้ว อาจจะต้องดูความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วยครับ

เพราะอย่าลืมว่าถ้าบริษัทไม่มีการบริหารการเงินที่ดีพอ ออกสินค้าการประกันที่ตนเองไม่สามารถจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้

ตรงนี้ก็จะเดือดร้อนเราอีกเช่นกันครับ

วิธีดูง่าย ๆ ว่าบริษัทไหนน่าเชื่อแบบเร็ว ๆ นะครับ ผมมีอยู่ทั้งหมด 2 เรื่องคือ

1. อายุของบริษัท

แม้ว่าการที่บริษัทอยู่มานานอาจจะไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพของบริษัทนั้น แต่ก็ช่วยให้เราเห็นภาพได้ครับว่าบริษัทนั้น ๆ ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจอะไรมาแล้วบ้าง และยังสามารถคอยู่ได้ครับ

2. ความน่าเชื่อถือและความเสี่ยงในการลงทุนของบริษัทประกัน (Credit Rating)

เราสามารถตรวจสอบ Credit Rating ของบริษัทประกันในประเทศไทยได้ โดยดูข้อมูลจากสถานบันการจัดดับเครดิต ซึ่งในประเทศไทยมีสถาบันจัดอันดับเครดิตหลัก 2 แห่ง ได้แก่:

  • บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
  • บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด

ทั้งสองบริษัทนี้มีหน้าที่ในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทประกันภัย โดยจะใช้สัญลักษณ์เรทติ้งตั้งแต่ AAA (ความเสี่ยงต่ำที่สุด) จนถึง D (ผิดนัดชำระหนี้) เพื่อบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่เราอาจเผชิญได้ครับ

สามารถเข้าไปหาข้อมูลของบริษัทนั้น ๆ ได้ที่เว็บไซต์ https://www.thaibma.or.th/EN/Investors/Individual/Blog/CreditRating.aspx

8. จ่ายเบี้ยประกันรายเดือนมีดอกเบี้ยนะ

การจ่ายเบี้ยประกันงวดชำระที่เป็นรายเดือน หรือรายไตรมาส จะมีดอกเบี้ยประมาณ 6-8%

ตรงนี้บางคนอาจจะไม่รู้และเลือกชำระแบบรายเดือนไป ทำให้เราเสียเบี้ยประกันมากกว่าการจ่ายแบบรายปีครับ


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save