บทความที่แล้วเราคุยกันในเรื่องของการวางแผนความเสี่ยงไปแล้วว่า ความเสี่ยงมีอะไรบ้าง
เรื่องไหนควรตั้งคำถามกับตนเองอย่างไร
พร้อมหลักการเลือกวิธีการบริหารความเสี่ยง ที่มีอยู่ 2 วิธีหลัก ๆ คือ “รับความเสี่ยงไว้เอง (สำรองเงิน)” กับ “ให้คนอื่นแบกรับความเสี่ยงให้เรา (ซื้อประกัน)”
ใครยังไม่ได้อ่าน ไปอ่านก่อนนเลยย
คำถามที่ต้องตอบตัวเองก่อนซื้อประกัน
ทีนี้ ถ้าเราเลือกแล้วว่าอยากให้คนอื่นช่วยแบกรับความเสี่ยง หรือก็คือการซื้อประกัน
วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจในแบบประกันหลัก ๆ ที่มีในท้องตลาดกัน
เพื่อที่เราจะได้เลือกแบบประกันได้ตรงกับความเสี่ยงที่เราอยากวางแผนครับ
แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักบริษัทประกันกันก่อนครับ
บริษัทประกันคือใคร?
บริษัทประกัน คือบริษัทที่เข้ามาช่วยแบกรับความเสี่ยงของคนจำนวนมาก ๆ โดยเอาเงิน “เบี้ยประกัน” ที่เราจ่ายไปบริหารจัดการเพื่อให้เกิดกำไร
ยกตัวอย่างเรื่อง ประกันสุขภาพ
พอมีคนทำประกันเยอะ ๆ แต่ละคนก็จะมีความเสี่ยงด้านสุขภาพที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะสุขภาพดีออกกำลังกายบ่อย อายุน้อย โอกาสป่วยน้อย เข้าโรงพยาบาลน้อย บางคนมีอายุแล้ว สุขภาพไม่แข็งแรง โอกาสป่วยมากกว่า
พอบริษัทประกันรับประกันคนจำนวนมาก ๆ เข้ามาก็จะเกิดการเฉลี่ยความเสี่ยงกัน
เมื่อมีคนป่วย บริษัทประกันก็จะนำเงินที่เก็บมาจากทุกคนที่จ่ายเบี้ยประกันไว้มาเป็นค่าใช้จ่ายช่วยเหลือคน ๆ นั้น (ค่าทดแทนสินไหม)
บริษัทประกันเขาได้กำไรยังไง?
แน่นอนว่าบริษัทประกันไม่ใช่องค์กรการกุศล แต่คือภาคเอกชนที่แสวงหากำไรจากการประกันครับ
ดังนั้นเมื่อบริษัทประกันได้เบี้ยประกันมาจากเราแล้วเขาจะต้องเอาไปบริหารให้เกิดกำไร หลังหักค่าใช้จ่ายค่าต่าง ๆ ที่เป็นต้นทุนครับ ซึ่งบริษัทประกันจะสามารถทำกำไรได้หลัก ๆ ดังนี้
เบี้ยประกันที่เก็บได้มากกว่าค่าสินไหมทดแทน: ถ้าบริษัทสามารถเก็บเบี้ยประกันได้มากกว่าค่าสินไหมทดแทนได้ ในส่วนที่เหลือนี้บริษัทประกันจะสามารถนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าการตลาด และที่สำคัญคือ นำไปลงทุนต่อยอด เพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม
การลงทุน: บริษัทประกันไม่ได้เก็บเงินส่วนเกินไว้เฉย ๆ แต่จะนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เงินทำงานและสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนนี้ก็จะนำมาเป็นส่วนหนึ่งของกำไรของบริษัท
การกระจายความเสี่ยง: บริษัทประกันไม่ได้รับประกันภัยเพียงประเภทเดียว แต่จะรับประกันภัยหลายประเภท และกระจายความเสี่ยงไปยังกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้ความเสี่ยงโดยรวมลดลงนั่นเอง
เพราะฉะนั้นก่อนที่บริษัทประกันจะรับประกันภัยให้กับใครสักคน บริษัทประกันจึงจะต้องทำการประเมินความเสี่ยงของบุคคลนั้น ๆ ก่อน เช่น อายุ สุขภาพ อาชีพ ฯลฯ
เพื่อกำหนดเบี้ยประกันที่เหมาะสม ซึ่งการประเมินความเสี่ยงที่แม่นยำจะช่วยให้บริษัทประกันสามารถรับความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม และลดความเสี่ยงในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่สูงเกินไปครับ
ประกันมีกี่แบบ?
หลักการออกแบบประกันจะคล้าย ๆ การทำขนมครับ คือจะเราเริ่มด้วย “แป้ง” ก่อน เราเรียกแป้งตรงนี้ว่า “สัญญาหลัก”
ส่วนเราจะทำขนมสอดไส้อะไร รสช็อคโกแล็ต หรือวานิลลา ตรงนี้เราจะเรียกว่า “สัญญาเพิ่มเติม”
ซึ่งแบบประกันหลักส่วนใหญ่ มักจะมาในรูปแบบของ “ประกันชีวิต” แล้วแนบ สัญญาเพิ่มเติม เป็น ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง ประกันชดเชยรายได้ หรือประกันอุบัติเหตุ ตามความต้องการครับ
1. ประกันชีวิต
สัญญาระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกันภัย โดยที่
ผู้เอาประกันจ่าย เบี้ยประกัน ให้บริษัท (รายเดือน รายปี หรือครั้งเดียว)
บริษัทประกันจะ จ่ายเงินให้กับผู้รับผลประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต หรือในบางกรณีตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เช่น ครบสัญญา, ทุพพลภาพ โดยส่วนนี้เราเรียกว่า “ทุนประกันชีวิต” ครับ
ส่วนมากจะเป็นตัวเลือก ว่าให้เราจ่ายเบี้ย 10 ปี 15 ปี หรือ 20 ปี
ระหว่างนั้นก็ให้ความคุ้มครองตลอดชีพตามทุนประกันครับ
เช่น จ่ายเบี้ย 20 ปี ปีละ 20,000 บาท ทุนประกันชีวิต 1,000,000 บาท หลังจากปีที่ 20 ทุนประกันนี้จะอยู่กับเราไปตลอดชีพตามที่ระบุสัญญาครับ
ตัวย่อจะเป็น 20/99 หมายถึง จ่ายเบี้ย 20 ปี คุ้มครองถึงอายุ 99 ปีครับ
หากเราเสียชีวิตก่อน ก็ได้รับเงินตามทุนประกัน แต่หากเราอายุ 99 ปี แล้วยังอยู่ เราก็จะได้รับเงินมา 1,000,000 บาทครับ
2. ประกันสุขภาพ
ประกันสุขภาพแทบจะทุกแบบ ทุกบริษัท จะเป็นแบบจ่ายเบี้ยทิ้งปีต่อปี สัญญาต่ออายุปีต่อปี (อัตโนมัติ) เบี้ยไม่คงที่เพิ่มขึ้นตามอายุ และเป็นรูปแบบประกันที่เป็นสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งจะต้องแนบกับสัญญาหลัก เช่น ประกันชีวิตครับ
ทีนี้คำเตือนคือหากทำประกันสุขภาพ แล้วไปพ่วงกับสัญญาหลักที่ให้ความคุ้มครองแค่ 30 ปี เช่น (10/30 จ่ายเบี้ย 10 ปี คุ้มครอง 30 ปี)
ถ้าแบบประกันหลักหมดอายุความคุ้มครองแล้ว ประกันสุขภาพของเราก็จะโดนยกเลิกไปด้วย ถ้าอยากให้มีความคุ้มครองตรงนี้ไปเรื่อย ๆ เราจะต้องทำประกันใหม่ และแถลงสุขภาพใหม่หมด
ซึ่งหากประวัติสุขภาพของเราเปลี่ยนไป เป็นประวัติขึ้นมาแล้ว การกลับมาทำประกันจะยากขึ้นครับ
ดังนั้นประกันสุขภาพ ควรแนบไปกับสัญญาหลักที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีวิต เพื่อจะได้ไม่ต้องมาแถลงสุขภาพแล้วครับ
และควรไว้ทำตั้งแต่ตอนอายุน้อย ๆ สุขภาพดี เพราะถ้าไปทำตอนอายุเยอะ แล้วสุขภาพเปลี่ยนไป เบี้ยจะโดนปรับขึ้น หรืออาจโดนปฏิเสธได้ครับ
โดยแบบประกันสุขภาพจะแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ ดังนี้ครับ
- OPD (ผู้ป่วยนอกโรงพยาบาล): ช่วยเบิกค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เช่น ค่ายา ค่าตรวจ Lab ตรวจ X-ray และการรักษาในแผนกผู้ป่วยนอก
- IPD (ผู้ป่วยในโรงพยาบาล): เป็นประกันที่คุ้มครองการรักษาแบบนอนโรงพยาบาล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก:
- แบบเหมา: บริษัทประกันจะให้วงเงินรวมรายปี เช่น วงเงิน 5 ล้านบาท ซึ่งจะใช้จ่ายได้จนกว่าจะถึงวงเงินที่กำหนด
- แบบแยกรายการ: จะมีการล็อกวงเงินแต่ละรายการ ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะถูกจำกัดและต้องคำนวณแยกออกเป็นส่วนๆ ตามที่ระบุในกรมธรรม์ เช่น ค่าผ่าตัด 100,000 บาท, ค่าห้อง 5,000 บาท, ค่าแพทย์ราววอร์ด 2,000 บาท
นอกจากนี้อยากให้คิดวงเงินค่ารักษาเผื่อระยะยาวด้วยครับ เพราะประกันสุขภาพ จะสามารถพ่วงกับการวางแผนการเกษียณในส่วนของ Long-term Healthcare ด้วย เดี๋ยวไว้จะมาแชร์ไอเดียให้ฟังในบทความถัด ๆ ไปครับ
3. ประกันโรคร้ายแรงและทุพพลภาพ
ประกันโรคร้ายแรงและทุพพลภาพ มักจะเข้าใจไม่ยากครับ
ส่วนมากจะเป็นแบบเจอ จ่าย จบ ครับ
เช่น เบี้ยปีละ 10,000 บาท ทุนประกัน 3,000,000 บาท
หากเป็นโรคมะเร็งระยะรุนแรง ก็จ่ายเงินก้อนเลย 3,000,000 บาทครับ
หากเป็นระยะไม่รุนแรงก็อาจจะจ่ายบางส่วนมาก่อนส่วนนึง เช่น 10% 30% 40%
บางบริษัทก็จะมีจ่ายเบิ้ลหากเป็นโรคในกลุ่มที่กำหนด หรือแบ่งจ่ายรายเดือนเพิ่มเติมกรณีทุพพลภาพ
ตรงนี้แล้วแต่แบบประกันของแต่ละบริษัทที่จะต้องไปศึกษาเพิ่มเติมครับ
แบบประกันแบบนี้ต่างจากประกันสุขภาพทั่วไปตรงที่ บริษัทประกันจะจ่ายเงินก้อนเข้ากระเป๋าเราทันที หลังจากที่ได้รับการวินิจฉัยตามเงื่อนไขของโรคร้ายแรงนั้น ๆ
ซึ่งเราจะสามารถนำเงินก้อนนี้ไปใช้จ่ายยังไงก็ได้แล้วแต่เรา
จะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายการดูแลในการรักษาต่าง ๆ นอกโรงพยาบาลก็ได้
หรือบางคนมีไอเดียว่า ถ้าเป็นโรคร้ายจริง ไม่อยากให้วาระสุดท้ายของชีวิตตัวเองเศร้าหมองในโรงพยาบาล อยากเอามาซื้อความสุขในบั้นปลาย เช่น เที่ยวรอบโลก แบบนี้ก็ทำได้เช่นกันครับ
ซึ่งถ้าเป็น ประกันสุขภาพ/อุบัติเหตุ ในแบบอื่น ๆ บริษัทประกันจะจ่ายเงินค่าใช้จ่ายให้กับโรงพยาบาล (ไม่ได้จ่ายเข้ากระเป๋าเรา)
4. ประกันชดเชยรายได้
เป็นการทำประกันเพื่อชดเชยรายได้หากเราไม่สามารถทำงานได้จากการนอนโรงพยาบาล
แบบประกันนี้จะช่วยให้เราไม่ต้องสูญเสียรายได้ในช่วงที่ไม่สามารถทำงานได้ตอนเราป่วย
แบบประกันแบบนี้ส่วนมากคิดจะคิดเป็นค่าชดเชยรายวันครับ เช่น
หากทำประกันชดเชยรายได้ วันละ 3,000 บาท และป่วยนอนโรงพยาบาล 5 คืน เราก็จะได้ค่าชดเชยเป็น 3,000 x 5 = 15,000 บาท ครับ
5. ประกันอุบัติเหตุ
ตรงนี้มีไว้เพื่อค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยรายได้ และทุนประกันหากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครับ
มีไว้เพื่อปิดความเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุเพิ่มเติมจากค่ารักษาพยาบาลแบบ IPD ครับ
6. ประกันวินาศภัย
รถยนต์: คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์
บ้าน: คุ้มครองบ้านจากภัยธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว
วิชาชีพ: ประกันความรับผิดทางวิชาชีพที่ครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากข้อผิดพลาดในการทำงาน เช่น กรณีทนายความหรือแพทย์
7. ประกันประเภทอื่น ๆ
นอกจากนี้จะมีประกันแบบอื่น ๆ ที่ผมไม่ได้กล่าวถึง เช่น
สะสมทรัพย์: ประกันที่เหมาะสำหรับคนที่ออมเงินเองไม่อยู่จริง ๆ และอยากได้วินัยในการออมเงินตามเป้าหมายที่สำคัญ ๆ มากขึ้น เช่น การดาวน์บ้าน ดาวน์รถ หรือการจัดสรรทุนการศึกษาสำหรับบุตร
ประกันบำนาญ: เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้เรามีรายได้หลังเกษียณ ลดความเสี่ยงเรื่องความผันผวนจากพอร์ตการลงทุนอื่น ๆ ของเราในตอนเกษียณครับ
Unit-linked: ประกันที่ควบคู่กับการลงทุน โดยบางส่วนของเงินที่เราจ่ายไปจะถูกนำไปลงทุนในกองทุนรวม อันนี้ค่อนข้างซับซ้อน และต้องอธิบายในรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ขอติดไว้เขียนในบทความถัด ๆ ไปฮะ
วิธีเลือกซื้อประกัน ให้เหมาะกับตนเอง
1. วางแผนเรื่องความเสี่ยงก่อน
ก่อนที่เราจะไปดูแบบประกัน ให้วางแผนให้ตัวเองก่อนครับว่า จริง ๆ แล้วตัวเองมีความเสี่ยงในด้านไหนบ้างที่กังวล
แนะนำให้อ่านบทความนี้ก่อนครับ
คำถามที่ต้องตอบตัวเองก่อนซื้อประกัน
2. กำหนดเบี้ยประกันที่เหมาะสม
ควรจัดสรรเงินที่ใช้จ่ายค่าการประกันให้ไม่เกิน 5-10% ของรายได้ เพราะหากจ่ายมากเกินไป อาจส่งผลกระทบกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ครับ และจะไปกระทบแผนการเงินด้านอื่น ๆ อีกเช่น แผนการเกษียณ แผนการออมเพื่อซื้อบ้าน
3. กำหนดทุนประกันที่เหมาะสม
3.1) ทุนประกันที่เหมาะสมของทรัพย์สิน
ควรกำหนดวงเงินประกันให้พอเหมาะกับมูลค่าของทรัพย์สิน เช่น บ้านหรือรถยนต์ ถ้าเป็นบ้านโดยปกติแล้วธนาคารจะเสนอให้ทำประกันตามวงเงินที่เรากู้มาครับ ส่วนรถยนต์ลองดูราคา และค่าซ่อมของรุ่นที่เราซื้อมาว่าเท่าไหร่ถึงเหมาะสมครับ
3.2) ทุนประกันที่เหมาะสมของประกันชีวิต
ตรงนี้มีหลายไอเดียมาก แต่ไอเดียหลัก ๆ คือมีวงเงินที่เพียงพอต่อการดูแลคนข้างหลังครับ ตรงนี้แต่ละคนจะไม่เหมือนกันครับ
เช่น นาย A เพิ่งเริ่มทำงาน โสด ไม่มีหนี้ อยู่คนเดียว พ่อแม่เป็นข้าราชการเกษียณแล้ว ไม่ต้องดูแลใคร อาจจะไม่มีประกันชีวิตเลยก็ได้ครับ
นาย B เป็นผู้บริหารระดับสูง ผ่อนคอนโด 1 หลัง รถ 1 คัน ภรรยาเป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูก 1 คนส่งเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ส่งเงินดูแลพ่อแม่ใช้จ่ายชีวิตประจำวัน แบบนี้อาจจะต้องวางแผนเรื่องประกันชีวิตไว้ให้คลอบคลุม เพราะหากนาย B เป็นอะไรไปจะกระทบต่อชีวิตภรรยา พ่อแม่ และอนาคตบุตรทันทีครับ
3.3) ทุนประกันที่เหมาะสมของประกันสุขภาพ นอนโรงพยาบาล/ตรวจผู้ป่วยนอก/โรคร้ายร้ายแรง/ชดเชยรายได้
อาจจะต้องคิดเป็นรายคนไปครับ เพราะแต่ละคนมีไอเดียและวางแผนชีวิตไม่เหมือนกัน
เช่น สำหรับคนทำงานบริษัทเอกชน หรือฟรีแลนซ์ อาจพิจารณาทำประกันสุขภาพ โรคร้ายแรง อุบัติเหตุ ไว้ทั้งหมด ถ้าไม่อยากใช้รบ.รัฐเลย
หากเป็นราชการที่มีสวัสดิการด้านสุขภาพดีอยู่แล้ว โสด ไม่มีภาระ อยู่บ้านข้าราชการ มั่นใจว่าทำงานจนเกษียณแน่นอน สุขภาพแข็งแรง ออกกำลังกายตลอด อาจมีแค่ประกันโรคร้ายแรง และอุบัติเหตุ ก็ได้ครับ
จะเห็นได้ว่าการวางแผนความเสี่ยงส่วนบุคคลส่วนใหญ่แล้ว เรื่องชีวิตและสุขภาพ เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อเราค่อนข้างมาก นอกจากการลงทุนเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้นี่ก็ยังเป็นเพียงภาพกว้าง ๆ ของแบบประกันสำหรับบุคคลนะครับ ในรายละเอียดเงื่อนไข ยิบย่อยต่าง ๆ หรือแบบประกันที่ลงลึกกว่านี้ของบริษัทต่าง ๆ ผมแนะนำให้ปรึกษากับตัวแทนของผู้อ่านอีกทีครับ
หวังว่าบทความนี้จะช่วยทำให้เพื่อน ๆ สามารถนำไปใช้วางแผนเรื่องความเสี่ยงได้ เข้าใจความต้องการของตนเองเรื่องความเสี่ยงมากขึ้น และสามารถคุยกับตัวแทนประกันได้รู้เรื่องขึ้นครับ