คือ “ภาษี” มักเป็นเหตุผลแรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเวลาจะซื้อประกัน
แต่ผมว่าสิ่งที่คำนึงถึงก่อนจริง ๆ ไม่ใช่คำถามว่า “ซื้อประกันลดหย่อนได้เท่าไหร่?”
เราควรเริ่มด้วยว่า “เราวางแผนการเงินในแต่ละด้านอย่างไรบ้างล่ะ?”
แล้วแผนการเงินของเราในด้านนั้น สามารถใช้ผลประโยชน์ทางภาษีได้ไหม
อยากจัดการความเสี่ยงเรื่องสุขภาพ อุบัติเหตุ หรือชีวิต? ได้ลองจัดแจกดูไหมว่าเรามีสิทธิ์เดิมเท่าไหร่ และอยากเพิ่มความคุ้มครองไปอีกเท่าไหร่? อยากเข้ารัฐ หรือเอกชน หรือกึ่ง ๆ
อยากมีเงินเกษียณในอนาคต? ได้วางแผนเกษียณหรือยัง? ก่อนจะไปซื้อประกันบำนาญ
หรือซื้อประกันออมทรัพย์ แต่มีแผนหรือยังว่าจะเอาออมเงินก้อนนั้นไปทำอะไรอีก 10 ปีข้างหน้า?
หลายคนซื้อประกันเพราะเห็นตัวเลข “ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง…” แล้วก็ตัดสินใจทันที โดยยังไม่ได้วางแผนให้ตนเองเลย เหมือนตัดโอกาสแผนการเงินด้านอื่น ๆ ของตัวเองไป
การเริ่มด้วยอยากลดหย่อนภาษี “เพียงอย่างเดียว” มันตามมาด้วยผลเสียอื่น ๆ ที่เราอาจจะไม่รู้ตัวนะ เช่น
❌ สภาพคล่องหาย
ประกันชีวิตหรือประกันแบบออมทรัพย์หลายตัว ต้องจ่ายเบี้ยต่อเนื่องเป็นปีๆ หรือจ่ายครั้งเดียวก้อนใหญ่แล้วรออีก 10-20 ปีกว่าจะได้เงินคืน
ถามว่า ถ้าช่วงหนึ่งของชีวิตเกิดเหตุฉุกเฉิน ต้องใช้เงินก้อนทันที เราจะดึงเงินจากประกันนั้นออกมาได้ไหม?
คำตอบคือ “ไม่ได้” หรือ “ได้ก็ขาดทุน” เพราะเบี้ยที่จ่ายไปอาจยังไม่ถึงจุดที่เรียกว่า “มีมูลค่าเวนคืน” พอ
❌ รับค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost)
การออมผ่านประกัน อาจให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 1-2% ต่อปี ซึ่งแทบไม่ทันเงินเฟ้อในระยะยาว (3-5%)
แปลว่า เงินที่เราคิดว่า “ออมไว้ดีแล้ว” จริงๆ แล้วกำลัง “สูญเสียมูลค่า” ไปเรื่อยๆ
เคยคำนวณหรือยังว่าผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้ มันคุ้มค่ากับค่าเสียโอกาสตรงนี้หรือเปล่า
หากเป้าหมายของเราคือการเก็บเงินให้งอกเงย การลงทุนในกองทุนรวม หุ้น หรือตราสารหนี้ อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และยังสามารถลดหย่อนภาษีได้เหมือนกันนะ (เช่น RMF)
❌ ได้แบบประกันที่ไม่ได้ตรงกับความต้องการของเราจริง ๆ
พอเราไปดูเรื่องลดหย่อนอย่างเดียว เราอาจมองข้ามถึงความคุ้มครองบางอย่างที่จริง ๆ แล้วเราต้องการไปได้
อยากคุ้มครองสุขภาพ แต่ดันได้ประกันแบบออมเงิน (ที่ไม่ได้คุ้มครองค่ารักษา)
อยากมีเงินเกษียณ แต่เลือกประกันชีวิตที่มีเงินคืนทุกปี (ซึ่งผลตอบแทนอาจไม่พอใช้หลังเกษียณ)
เรื่องนี้คือผมเห็นใจคนที่มาถามผมมากเลย คือเค้าซื้อประกันออมทรัพย์เพื่อลดหย่อนภาษีไปแล้ว แต่จริง ๆ ตัวเองอยากได้ประกันสุขภาพ แต่ด้วยสภาพคล่องตอนนี้ถ้าเค้าจะตัดสินใจยกเลิกเล่มเดิมก็เสียดายเงินที่ขาดทุน ถ้าให้ไปซื้อเล่มใหม่เพิ่ม ก็จะกระทบสภาพคล่องอีก
❌ ภาระผูกพันระยะยาว (Commitment Trap)
ประกันหลายแบบ โดยเฉพาะที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ เช่น ประกันชีวิตแบบมีเงินคืน หรือประกันบำนาญ มักมีข้อกำหนดว่าต้องจ่ายเบี้ยต่อเนื่องหลายปี — 10, 15 หรือบางที 20 ปีขึ้นไป
ถ้าเราซื้อเพียงเพราะอยากลดหย่อน แต่ไม่ได้วางแผนให้ดี
ปีแรกอาจพอรับไหว แต่ปีที่ 3 หรือ 4 ถ้ารายรับลดลง หรือต้องการเงินไปใช้กับเป้าหมายอื่น (เช่น มีลูก ซื้อบ้าน เปลี่ยนงาน)
ประกันที่ซื้อไว้จะกลายเป็น “ภาระ” ที่เราต้องจ่ายต่อไป เพราะไม่อยากยกเลิกแล้วเสียสิทธิ์หรือขาดทุน
บางคนรู้ตัวอีกทีคือ “ไม่มีความสุขกับประกันที่ซื้อเลย”
แต่ก็ไม่อยากเลิก เพราะเสียดายเงินที่จ่ายไปแล้ว (Sunken cost)
ประกันที่ควรเป็นเครื่องมือช่วยให้เรากังวลกับความเสี่ยงน้อยลง กลับกลายเป็นภาระซะงั้น

ผมเห็นหลายคน ชอบเจอตัวแทนประกัน “วางแผนภาษี” ให้โดยการแนะนำให้ซื้อประกันออมทรัพย์เต็ม 100,000 แล้วมารู้ตัวทีหลังว่าไม่ได้ประกันแบบที่ตัวเองต้องการเยอะมาก ๆ ซึ่งเอาตามตรง ผมไม่เห็นด้วยนะ จึงเป็นที่ของบทความนี้แหละ
อย่างไรก็ตาม การซื้อประกันออมทรัพย์ หรือลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีที่ความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับคุณก็ได้ ถ้าฐานภาษีคุณสูงมาก และไม่ต้องการ Take Risk เงินก้อนนั้นเลย ก็เป็นทางเลือก หากคุณจัดสรรเงินเงินส่วนอื่นไว้สำหรับแผนการเงินในด้านอื่น ๆ แล้ว (ค่าเทอม, ดาวน์บ้าน, เกษียณ ฯลฯ)
เพราะฉะนั้น “อย่าซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียว” วางแผนการเงินก่อน แล้วเลือกแบบประกันที่ตรงกับแผนการเงินของตัวเอง
การลดหย่อนภาษีเป็นเพียง “ผลพลอยได้” ครับ

