ผมเชื่อว่าใครหลาย ๆ คนน่าจะเคยเล่นเกมเศรษฐี
กติกาง่ายมาก
ทุกคนเริ่มต้นเหมือนกัน: มีเงินก้อนหนึ่ง เดินตามลูกเต๋าไปจบวนครบรอบเมือง
ทุกครั้งที่เดินครบรอบ ก็จะได้เงินเดือน พร้อมโบนัส
ระหว่างทางใครโชคดีหน่อย เดินตกได้ช่องการ์ดเพิ่มเงิน ก็มีเงินเพิ่มมากขึ้น
ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างวิธีเล่นเกมของนาย A และนาย B กันครับ
นาย A เดินครบรอบได้เงินเดือน ได้โบนัส ระหว่างทางเวลาเขาเดินตกตรงไหน เงินเหลือ ก็ซื้อบ้าน ซื้อโรงแรม เก็บไว้กินค่าเช่า
ส่วนนาย B เดินครบรอได้เงินเดือนเหมือนกัน แต่ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินอะไรติดไว้เลยระหว่างทาง
เราลองนึกภาพ ถ้าเวลาผ่านไป 30 ปี จนนาย A และนาย B แก่ตัวมากแล้ว และไม่มีแรงออกไปเดินบนช่องกระดานให้ครบรอบ (ทำงานเพื่อรับเงินเดือน)
นาย B จะเอาเงินจากไหนมาหล่อเลี้ยงตนเอง?
นี่เป็นเหตุผลข้อแรกว่าทำไมการวางแผนเกษียณจึงเป็นเรื่องสำคัญ
“เงินในวันพรุ่งนี้… มีมูลค่าไม่เท่ากับเงินในวันนี้“
เรื่องของเงินเฟ้อ จริง ๆ เรื่องนี้เราสามารถพูดกันได้ยาวมาก บางคนก็เอาเรื่องนี้มาเขียนหนังสือได้เป็นเล่ม ๆ
แต่ใจความสำคัญของเรื่องนี้คือ เงินในระบบทุนนิยมปัจจุบัน “มันไม่สามารถรักษามูลค่าได้”
แม่ผมเคยบอกว่าสมัยแม่ราคาก๋วยเตี๋ยวเมื่อ 30 ปี 10 บาทนี่อิ่มท้องได้เลย แต่ปัจจุบันก๋วยเตี๋ยวราคา 70 บาท บางที่ยังไม่อิ่มด้วยซ้ำ ต้องสั่งพิเศษอีก
นี่เป็นตัวอย่างของเงินเฟ้อที่ชัดเจน
เงิน 100 บาท ในวันนี้ จะมีกำลังซื้อน้อยกว่าเงิน 100 บาท ในอีก 30 ปีข้างหน้า
เพราะฉะนั้น เราไม่ได้แค่ต้องสู้กับรายได้ที่หายไปตอนเราแก่ชราลงเท่านั้น แต่เราต้องสู้กับเงินเฟ้อด้วย
“มนุษย์กำลังมีอายุขัยที่ยาวนานขึ้น”
ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ในปัจจุบันทำให้หมอสามารถต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ดีขึ้นเยอะมาก
บวกกับเทรนด์รักสุขภาพที่ผมเห็นใคร ๆ ก็สนับสนุนการออกกำลังกายอย่างเต็มที่
ผมไม่มีตัวเลขสถิติในเรื่องนี้ แต่ผมสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า แพทย์ในยุคปัจจุบันใส่ใจกับ Health Promotion ค่อนข้างมาก ทั้งกับตนเอง และกับผู้ป่วย
ที่ฟังมาทั้งหมดดูเหมือนเป็นเรื่องดี แต่เมื่อเราคิดปัจจัยเรื่องเงินเข้าไปแล้ว
อาจจะเป็นข่าวร้าย สำหรับคนที่ไม่วางแผนการเงิน
เพราะคุณกำลังเจอกับความเสี่ยงที่เงินจะหมดก่อนตาย แทนที่จะตายก่อนเงินหมด
“เราต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น”
ผมเชื่อว่าถ้าใครรู้แล้วว่าเราต้องวางแผนเกษียณ เพื่อความมั่นคงทางการเงินยามแก่ชรา
คงไม่มีใครวางแผนว่า “ค่อยให้ลูกไปเลี้ยงเราตอนแก่” กัน (หรือเปล่า?)
นอกจากนี้เรายังอยู่ในยุคที่คนไม่อยากมีลูก
ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
ยิ่งเป็นตัวย้ำเตือนว่า “เราจะต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้นกว่ายุคพ่อยุคแม่หลายเท่าตัวในวัยเกษียณ”
ลองนึกภาพสมัยปู่ย่าตายาย
หลายท่านอาจจะไม่ได้วางแผนเกษียณให้ตัวเองอย่างรัดกุมมากนัก
แต่ก็ยังพอที่จะให้ลูกหลานช่วยกันเลี้ยงดูท่านได้
เพราะสมัยท่านค่าครองชีพไม่ได้แพงเท่าปัจจุบัน มีลูกหลานได้หลายคน
ยามแก่ชรามาก็ช่วยแบ่งกันเลี้ยงดูท่านคนละไม้คนละมือ ก็สามารถที่จะผ่านพ้นช่วงวัยเกษียณไปได้ แม้จะไม่ได้วางแผนอย่างจริงจังในสมัยก่อน
แต่สมัยเราน่าจะไม่ใช่แบบนั้น
ยิ่งเจอกับค่าครองชีพ เงินเฟ้อ สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันเข้าไป
การที่เราได้วางแผนดูแลตัวเองตอนแก่ชรา จะทำให้เราภูมิใจในตัวเอง ไม่ต้องเป็นภาระคนอื่น สามารถมีชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งใครมากเกินไป (ในเรื่องเงิน)
เราก็จะเป็นส่วนนึงของสังคมที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของคนรุ่นใหม่ให้เขาได้โฟกัสกับอนาคตของตนเองโดยไม่ต้องห่วงเรา
“สุขภาพ”
ตอนเราหนุ่มสาวเรามักไม่ได้คำนึงถึงความสำคัญของการวางแผนค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพมากนัก
เพราะเราไม่ค่อยป่วย
แต่ตอนร่างกายเราแก่ชราลง สุดท้ายยังไงเราก็ต้องมีเจ็บ มีป่วย แม้เราจะดูแลร่างกายของเราดีมากแค่ไหนก็ตาม
สุขภาพ เป็นเรื่องที่ใหญ่มากสำหรับตัวเราในตอนแก่ชรา เพราะอัตราการเข้าโรงพยาบาลของเราจะสูงขึ้นมาก ยิ่งอายุเยอะ ร่างกายเรายิ่งเปราะบาง และเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ นานา
หลายคนอาจเคยได้ยินประโยค
“หาเงินมาทั้งชีวิต สุดท้ายแก่มาเอาไปให้หมอหมด”
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องเตรียมความพร้อมสำหรับความเสี่ยงในเรื่องนี้ด้วย ยิ่งเตรียมไว้ดีตอนอายุน้อย และแข็งแข็งแรงยิ่งดีครับ
สรุป
วันนี้เราทุกคนก็กำลังทอยลูกเต๋าอยู่ในเกมเดียวกับที่เราเคยเล่นตอนเด็ก แต่ต่างกันที่คราวนี้ มันไม่ใช่แค่เกม
แต่มันคือคุณภาพชีวิตของตัวเราเองในอนาคต
คำถาม คือ…
เราอยากเป็นแบบนาย A ที่เตรียมตัววางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือ นาย B ที่กว่าจะรู้ตัวก็ไม่มีแรงทอยลูกเต๋าเพื่อเดินในเกมนี้ต่อแล้ว