บ้านเป็นอีกค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ในชีวิต
เป็นสินค้าที่มีราคาสูง กว่าจะเก็บเงินซื้อได้ต้องใช้เวลานานมาก แถมในระหว่างทางเราจะต้องเจอกับเงินเฟ้อที่ทำให้กำลังซื้อของเราในอนาคตลดน้อยลงอีก
คนส่วนใหญ่เลยเลือกวิธีใช้สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน
ดังนั้นเราจึงควรมีการวางแผนการเงินที่ดี เพราะจะช่วยให้การซื้อบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เป็นภาระเกินตัวในระยะยาว และทำให้คุณเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างมั่นใจ
และถ้าใครจำสามเหลี่ยมพีระมิดการเงินได้การวางแผนการออมเพื่อซื้อของชิ้นใหญ่ ๆ ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ต้องวางแผนเช่นกัน

วันนี้ผมจึงอยากมาแชร์เรื่อง การวางแผนการซื้อบ้านโดยใช้สินเชื่อใน Wealth Clinic the Series EP04
พร้อม Google Sheet เครื่องมือคำนวณสินเชื่อที่อยู่อาศัยในบทความ
โดยในบทความนี้เราจะไม่ได้ไปเน้นว่าบ้านทำเลแบบไหนดี หันหน้าทิศไหน ซื้อโครงการหรือสร้างเอง แต่เราจะเน้นไปในเรื่องการวางแผนการเงินเป็นหลักครับ
เช่า หรือซื้อ แบบไหนดีกว่ากัน และเหมาะกับใคร?
ก่อนจะไปคุยเรื่องวิธีซื้อบ้าน อย่าลืมว่า Function จริง ๆ ที่เราต้องการคือ “การอยู่อาศัย”
ซึ่ง Function นี้ไม่ได้จำเป็นต้องซื้อเอาเท่านั้น เราสามารถเช่าเอาก็ได้ และอาจจะประหยัดกว่าสำหรับหลาย ๆ คน
เราลองมาเปรียบเทียบกันดูว่าแบบไหนมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้างกันครับ
| 📌ปัจจัย | เช่าบ้าน | ซื้อบ้าน |
|---|---|---|
| ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น | ต่ำกว่ามาก (วางเงินประกัน 1-3 เดือน) | สูง (อาจต้องมีเงินดาวน์ 10-30% ของราคาบ้าน + ค่าโอน) |
| ภาระหนี้สิน | ไม่มีภาระหนี้ | มีภาระหนี้ระยะยาว (ผ่อน 20-30 ปี) |
| ความยืดหยุ่น | ย้ายที่อยู่ได้ง่าย สะดวก | หากต้องการย้าย อาจต้องขายหรือปล่อยเช่า ซึ่งไม่มีความแน่นอน |
| ค่าใช้จ่ายระยะยาว | อาจแพงกว่า ถ้าเช่าไปตลอดชีวิต | หลังผ่อนหมดแล้วจะเหลือแค่ค่าซ่อมบำรุง และส่วนกลาง |
| ทรัพย์สิน | ไม่มีทรัพย์สิน | มีทรัพย์สิน สามารถนำไปขายหรือจำนองได้ |
| แนวโน้มค่าใช้จ่าย | ค่าเช่ามีโอกาสปรับขึ้น | ค่อนข้างคงที่ เว้นแต่อัตราดอกเบี้ยช่วงลอยถูกปรับขึ้นสูง โดยไม่ Refinance/Retention ระหว่างทาง |
| ความมั่นคง | ไม่มั่นคง สัญญา 1-3 ปี | มั่นคงระยะยาว ส่งต่อให้ทายาทได้ |
ในความเห็นของผมคือ ถ้าไม่มั่นใจในอนาคตของตนเองว่างานจะได้ทำที่ได้ระยะยาว หรือมีโอกาสต้องเปลี่ยนงานบ่อย ๆ ยังไม่มีครอบครัว อย่าเพิ่งรีบซื้อจนเกินไปครับ เช่าไปก่อน
จนกว่าจะมั่นใจในงานจริง ๆ ต้องการลงหลักปักฐานแล้ว มีครอบครัวแล้ว ค่อยพิจารณาซื้อบ้าน ก็ยังไม่สายไปครับ
ที่สำคัญอย่าลืมทางเลือกอยู่บ้านพ่อ บ้านแม่ ไปก่อนด้วยนะครับ (ถ้ายังทำงานได้) ข้าวฟรี ที่นอนฟรี ค่าน้ำ ค่าไฟฟรีอีก ฮ่า ๆ
ดังนั้น ถ้าใครชั่งใจแล้วว่า ยังไงการมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับ Stage ใหม่ของชีวิตที่กำลังจะไป เรามาวางแผนซื้อบ้านกันครับ
7 ขั้นตอนวางแผนการซื้อบ้านด้วยสินเชื่อ
1. ประเมินความสามารถในการซื้อบ้านของตนเอง
คำถามที่เราต้องหาคำตอบคือ “เราสามารถผ่อนบ้านได้เท่าไร” โดยทั่วไปนักวางแผนการเงินมักจะแนะนำให้การผ่อนชำระค่าแต่ละเดือน ไม่ควรเกินประมาณ 30-40% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อป้องกันไม่ให้การเงินตึงตัวเกินไป ตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้เดือนละ 30,000 บาท ค่างวดผ่อนบ้านที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 9,000-12,000 บาทต่อเดือน (ประมาณ 30-40% ของรายได้)
ทั้งนี้ ต้องรวมภาระหนี้อื่น ๆ ที่เรามีอยู่ด้วย เพราะสถาบันการเงินจะพิจารณาหนี้สินทั้งหมดของเราในการปล่อยกู้ เช่น หากปัจจุบันเรามีภาระผ่อนรถอยู่ 8,000 บาทต่อเดือน ความสามารถในการผ่อนบ้านของคุณจะเหลือเพียงราว 1,000-4,000 บาทเท่านั้น
ผมแนะนำให้เช็คสภาพคล่องของเราอย่างจริงจังด้วยงบกระแสเงินสด ว่าเรามีความสามารถในการชำระหนี้ตามที่เรา “คิด” จริง ๆ ใช่ไหม การย้อนกลับไปดูรายรับ รายจ่ายต่อเดือนของเราจะทำให้เราได้เห็นความจริงตรงนี้ออกมาเป็นตัวเลขมากขึ้น ไม่ควรคิดในใจเฉย ๆ ควรประเมินสถานะการเงินตนเองอย่างสมจริงครับ
[CLICK] วางแผนการเงินเรื่อง รายได้ และสภาพคล่อง: Wealth Clinic the Series EP01
แบบฝึกหัดที่ดีเลยคือ แนะนำให้ซ้อม “ผ่อนลม” ดูก่อน สัก 6-12 เดือนครับ ให้พอได้ชิมลางว่าถ้าเรามีค่าใช้จ่าย fixed cost เดือนละเท่านี้ต่อเดือนเราจะไหวไหม และเป็นการเก็บเงินดาวน์ไปในตัวด้วย
หลังประเมินเงินงวดแล้วให้ตีกลับไปที่ราคาบ้านว่าสรุปควรซื้อบ้านราคาเท่าไร
โดยเพื่อน ๆ สามารถใช้ Excel Google Sheets ที่ผมแจกให้ในท้ายของบทความครับ
2. ซื้อบ้านมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
นอกจากเงินดาวน์และราคาบ้านแล้ว ยังมี ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการซื้อบ้านที่ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหางบประมาณบานปลาย โดยตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่ควรคำนึงถึง ได้แก่:
2.1 เงินจองบ้าน
เงินที่จ่ายให้ผู้ขายหรือโครงการเพื่อยืนยันสิทธิ์การซื้อบ้านหรือคอนโดก่อนทำสัญญาจะซื้อจะขาย เงินจองนี้มักเป็นหลักหมื่นบาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับโครงการและราคาบ้าน
2.2 ค่าทำสัญญา
บางโครงการอาจมีค่าทำสัญญา (เงินก้อนที่จ่ายเมื่อทำสัญญาซื้อขาย) ควรสอบถามนายหน้า หรือฝ่ายขายของโครงการให้ชัดเจน นอกจากนี้หากเป็นการซื้อบ้านมือสอง ผู้ซื้ออาจต้องจ้างทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบเอกสารและดูแลขั้นตอนการโอน ซึ่งจะมีค่าบริการทางกฎหมายครับ
2.3 ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์
ค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้กรมที่ดินในวันโอนบ้าน โดยทั่วไปประมาณ 2% ของราคาประเมิน บางกรณีผู้ซื้อและผู้ขายอาจตกลงแบ่งจ่ายคนละครึ่ง หรือถ้าเป็นโครงการมือหนึ่ง บริษัทผู้ขายบ้านอาจรวมค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปให้เราในราคาบ้านแล้วครับ
2.4 ค่าจดจำนอง
กรณีขอสินเชื่อบ้าน ธนาคารจะจดจำนองบ้านไว้เป็นประกันเงินกู้ มีค่าธรรมเนียมประมาณ 1% ของวงเงินกู้ ที่ต้องชำระให้กรมที่ดินในวันโอน
2.5 ค่าประกันภัยบ้าน
ธนาคารส่วนใหญ่กำหนดให้ผู้กู้ทำประกันภัยบ้าน (เช่น ประกันอัคคีภัย) เพื่อคุ้มครองทรัพย์สิน ซึ่งธนาคารมักเสนอแบบ 3 ปีขั้นต่ำ การต่ออายุ จะไม่ต่อก็ได้แล้วมาทำเองภายหลัง
2.6 ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA)
เป็นค่าใช้จ่ายไม่บังคับ แต่ธนาคารมักเสนอเพื่อความอุ่นใจว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันผู้กู้ไม่สามารถผ่อนต่อ พ่อแม่ ภรรยา หรือคนข้างหลังเราจะได้รับเงินมาปิดหนี้บ้าน ทั้งนี้ค่าเบี้ยประกันนี้ขึ้นอยู่กับทุนประกันที่เลือก ประวัติสุขภาพ และอายุผู้กู้ครับ โดยธนาคารมักเสนอคู่สินเชื่ออัตราพิเศษกว่าปกติ บางครั้งจะรวมเบี้ยประกันเข้าไปในสัญญากู้ด้วย
หากกังวลว่าหนี้จะตกสู่คนข้างหลังหากเราเสียชีวิตก่อนผ่อนบ้านหมด สามารถเลือกทำ MRTA ได้ครับ จ่ายก้อนเดียวปีเดียว ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ด้วย
แต่ถ้ารวมสิทธิแล้วเกิน 100,000 อาจพิจารณาทำประกันชีวิตแยกต่างหาก เช่น แบบชั่วระยะเวลา(Term) หรือ แบบพ่วงลงทุน (Unit-linked) ส่วนนี้จะมีการคำนวณเปรียบเทียบกันค่อนข้างซับซ้อน จะขอเก็บไว้ในบทความถัดไปครับ
2.7 ค่าส่วนกลาง
ถ้าเราเลือกบ้าน/คอนโดในโครงการ เราจะต้องคำนวนค่าส่วนกลางไว้ด้วยครับ ยิ่งส่วนกลางเยอะ อลังการ ค่าส่วนกลางยิ่งแพง! และต้องไม่ลืมด้วยว่า ถ้านิติบุคคลบริหารไม่ดีหรือ เพื่อนบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางเยอะ อาจจะกระทบกับเราด้วยได้เช่นกันครับ
2.8 เงินกองทุนหมู่บ้าน/คอนโด
เงินทุนสำรองให้นิติบุคคลคอนโดเก็บไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน หรือเร่งด่วนของแต่ละโครงการ เช่น ซ่อมแซมส่วนกลาง โดยเฉพาะการบำรุงรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงหรือเร่งด่วน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นเงินสำรองฉุกเฉินสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนกลางในโครงการนั้น ๆ นั่นเอง ปกติแล้วจะได้จ่ายครั้งเดียว แต่ถ้านิติบุคคลบริหารไม่ดี อาจทำให้เงินกองทุนไม่พอจนต้องเก็บเพิ่มได้ครับ
2.9 ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ได้แก่ ค่าตกแต่งต่อเติมบ้าน หรือซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด (ถ้าซื้อบ้านมือสองอาจมีค่าซ่อมแซมก่อนเข้าอยู่) ค่าบริการติดตั้งมิเตอร์น้ำ-ไฟ (สำหรับบ้านใหม่) ค่าขนย้ายของและเฟอร์นิเจอร์ ในวันย้ายเข้า เป็นต้น
3. รู้จักกับอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย
ขั้นตอนต่อมาก็คือให้ลอง Survey เปรียบเทียบสินเชื่อที่อยู่อาศัย จากสถาบันการเงินหลาย ๆ แห่งก่อนตัดสินใจเลือกกู้ โดยพิจารณาจาก อัตราดอกเบี้ย วงเงินที่ให้ ระยะเวลาผ่อนชำระ และเงื่อนไขพิเศษต่าง ๆ
ควรสอบถามและเทียบข้อเสนอจากธนาคารอย่างน้อย 3 แห่ง เพื่อให้ได้ดีลที่คุ้มค่าที่สุด (เกินกว่านี้ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ค่อยจำเป็นครับ)
ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ อัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีผลโดยตรงต่อยอดผ่อนและดอกเบี้ยรวมตลอดอายุสัญญากู้ โดยทั่วไปสินเชื่อบ้านจะมี ประเภทดอกเบี้ย ทั้งหมด 3 แบบดังนี้
ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate)
อัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามตลาด ในช่วงที่กำหนด เช่น คงที่ 3 ปีแรก เป็นต้น ข้อดีคือช่วยให้ค่างวดผ่อนของคุณ คงที่ ไม่ผันผวน เหมาะกับภาวะที่แนวโน้มดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น การล็อกอัตราดอกเบี้ยไว้จะทำให้คุณไม่โดนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ในประเทศไทยเราจะแทบไม่เห็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ตลอดอายุสัญญาครับ โดยส่วนมากจะเป็นแค่ช่วง 3 ปีแรก จูงใจให้คนกู้เงิน เพราะอัตราการผ่อนชำระในช่วงนี้ก็จะถูกไปด้วย
ดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate)
อัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น-ลงได้ตามทิศทางดอกเบี้ยในตลาด โดยมักอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารเช่น MRR (Minimum Retail Rate) หรือ MLR (Minimum Loan Rate) ช่วงที่ดอกเบี้ยตลาดเป็นขาลง การเลือกดอกเบี้ยลอยตัวจะเป็นประโยชน์ เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับลด ค่างวดผ่อนบ้านของคุณก็จะลดลงด้วย แต่ในทางกลับกันหากดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น ค่างวดก็จะสูงขึ้น
ผสม (Mixed)
อัตราดอกเบี้ยที่มีทั้งช่วงที่เป็นดอกเบี้ยคงที่ และช่วงที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว ซึ่งการกู้บ้านในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้แทบทั้งหมดครับ คือดอกเบี้ยคงที่ใน 3 ปีแรก และปีที่ 4 เป็นต้นไปจะเป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัว
นอกจากนี้ ควรพิจารณา โปรโมชั่นและเงื่อนไขพิเศษ ของแต่ละธนาคาร เช่น บางแห่งให้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษในปีแรกหรือ 3 ปีแรก (หลังจากนั้นจะปรับเป็นอัตราปกติแบบลอยตัว) บางแห่งฟรีค่าจดจำนองหรือค่าโอนในวงเงินที่กำหนด หรือมีของแถมส่งเสริมการขาย
อีกทั้งควรเลือก ระยะเวลาผ่อนชำระ ให้เหมาะสมกับความสามารถ เช่น ผ่อนสั้น 10-15 ปี จะเสียดอกเบี้ยสะสมรวมน้อยกว่าแต่ค่างวดต่อเดือนจะสูง ผ่อนยาว 30 ปี ค่างวดจะต่ำกว่าแต่เสียดอกเบี้ยมากกว่า เป็นต้น
ก่อนเซ็นสัญญาสินเชื่อบ้าน อ่านสัญญาและเงื่อนไขให้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยผิดนัด เบี้ยปรับกรณีปิดบัญชีก่อนกำหนด หรือเงื่อนไขการ Refinance/Retention ว่าห้ามทำก่อนกี่ปี เพื่อป้องกันปัญหาในภายหลัง ตรงนี้สำคัญมาก ๆ ครับ

4. ตั้งงบประมาณและออมเงินล่วงหน้า
พอเรารู้กำลังซื้อของตนเอง และค่าใช้จ่าย รวมถึงช่วงอัตราดอกเบี้ยที่ต้องเจอแล้ว ลำดับต่อมาก็คือตั้งงบประมาณราคาบ้าน ที่ตั้งใจจะซื้อ และเริ่มออกตระเวนหาบ้านใน Size, Spec, Location, Price ที่เหมาะสมกับเราได้เลย
แล้วตั้งแผนการออมเงินล่วงหน้าในงบกระแสเงินสดสำหรับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่จะเกิดขึ้น เช่น เงินดาวน์บ้าน และค่าใช้จ่ายในวันโอนบ้าน การซื้อบ้านมักต้องใช้เงินสดบางส่วนชำระล่วงหน้า เช่น เงินจอง เงินดาวน์/ค่าทำสัญญา ปกติรวมกันมักคิดเป็นประมาณ 10-20% ของราคาบ้านครับ
การออมเงินก้อนนี้ควรวางแผนล่วงหน้าเป็นปีและทำอย่างมีวินัย เช่น แบ่งเงินเดือนฝากเข้าบัญชีออมทรัพย์ที่แยกไว้สำหรับซื้อบ้านทุกเดือนสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยให้ได้เงินก้อนสำหรับซื้อบ้านแล้ว ประวัติการออมเงินสม่ำเสมอ มีเงินก้อนในบัญชี ยังช่วยเสริมความน่าเชื่อถือทางการเงินในการยื่นกู้ด้วย
ถามว่าเราควรดาวน์เท่าไหร่ ตรงนี้แล้วแต่ความต้องการของเราครับว่าต้องการแบบไหน
ยิ่งคุณวางเงินดาวน์มากเท่าไร วงเงินกู้ที่ต้องขอก็จะน้อยลง และภาระการผ่อนชำระ รวมถึงดอกเบี้ยตลอดสัญญาก็จะลดลงตามไปด้วย ข้อเสียคือต้องใช้เงินก้อนใหญ่
ส่วนข้อดีของการดาวน์น้อยคือ เราจะมีเงินสดอยู่กับตัวเองมากขึ้น แต่ก็แลกมากับภาระการผ่อน และดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญาที่มากขึ้นครับ
นอกจากนี้เราจะต้องดู Loan to Value (LTV) ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่แบงก์ชาติอนุญาตให้ธนาคารให้สินเชื่อได้
เช่น ถ้าเงื่อนไข LTV เท่ากับ 90% หมายความว่าคอนโดราคา 1 ล้านบาท ธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อให้ได้แค่ 900,000 บาทเท่านั้น ส่วน 100,000 บาทที่เหลือ เราต้องใช้เงินสดในการซื้อครับ
โดยมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับว่าเป็นบ้านหลังที่เท่าไหร่ และวงเงินกู้เท่าไหร่ครับ สำหรับของปี 2568 มีข้อกำหนดดังนี้

ตรงนี้แต่ละปีจะมีมาตรการไม่เหมือนกัน บางปีมีการผ่อนปรบ บางปีมีการรัดกุม ขึ้นอยู่กับมุมมองต่อสภาวะเศรษฐกิจของแบงก์ชาติครับผม ต้องเช็คประกาศเป็นรายปีไปครับ
5. เตรียมประวัติเครดิตที่ดีเพื่อขอสินเชื่อ
การขอสินเชื่อบ้านให้ผ่านอนุมัติ จำเป็นต้องมีประวัติสินเชื่อและเครดิตทางการเงินที่ดี สถาบันการเงินจะตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโรของผู้กู้ประกอบการพิจารณาเสมอ
ตรงนี้จะรวมกับสินเชื่อทุกประเภท ไม่ว่าคุณจะมีบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลใด ๆ ก็ตาม ควรชำระหนี้ต่าง ๆ ให้ตรงเวลาสม่ำเสมอ และไม่ค้างชำระจนเกิดประวัติเสียในเครดิตบูโร
รายจ่ายค่าบัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ หรือหนี้อื่น ๆ ควรชำระหนี้ตรงเวลา ตามกำหนดทุกงวด หากเป็นไปได้ให้ชำระเต็มจำนวน เพื่อแสดงความสามารถในการบริหารหนี้
หากคุณมีประวัติการชำระล่าช้าเกิน 30 วันบ่อยครั้ง หรือค้างชำระเกิน 90 วันจนกลายเป็นหนี้เสีย ข้อมูลเหล่านี้จะปรากฏในรายงานเครดิตและส่งผลให้โอกาสกู้ผ่านจะลดลงหรืออาจถูกปฏิเสธเลยก็ได้
เตรียมตัวเรื่องหลักฐานแหล่งที่มาของรายได้ล่วงหน้าอย่างน้อย 6-12 เดือนก่อนยื่นกู้ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารครับว่ามีเกณฑ์พิจารณาอย่างไร
บางธนาคารถ้าเป็นพนักงานประจำใช้สลิปเงินเดือน 6 เดือนก็กู้ได้แล้ว แต่ถ้าหากเราเป็น Freelance อาจจะต้องเตรียมเอกสารที่มาของรายได้ 12 เดือน จัดการบัญชีรายรับรายจ่ายให้ชัดเจน มีการเสียภาษีถูกต้อง สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธนาคารเชื่อมั่นในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ทั้งนี้เราสามารถเดินเข้าไปปรึกษาเจ้าหน้าที่สินเชื่อธนาคารที่เราสนใจได้เลยครับ
6. เตรียมเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเกี่ยวกับบ้าน
กู้ผ่านแล้วไม่ได้แปลว่าจบ… วันนี้เรามีหนี้ มีรายจ่าย Fixed-cost เป็นของตนเองแล้ว เพราะฉะนั้นเราควรมี เงินสำรองฉุกเฉิน เพิ่มขึ้นค่าใช้จ่ายไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับบ้าน เช่น หลังคารั่ว น้ำท่วมขังในบ้าน ท่อประปาแตก เครื่องปรับอากาศเสีย หรือต้องซ่อมแซมใหญ่บางอย่าง ถ้าเป็นไปได้ก็แยกต่างหากไว้สำหรับค่าใช้จ่ายเรื่องบ้านโดยเฉพาะ กันไว้อย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
ที่สำคัญ นอกจากจะผ่อนแบงก์ และจ่ายค่าเบี้ยประกันแล้ว อย่าลืมเตรียมเงินสำหรับค่าส่วนกลางในแต่ละปีด้วยนะครับ
7. อย่าลืม Refinance/Retention
สุดท้าย หากผ่อนจนครบ 3 ปี แนะนำพิจารณา รีไฟแนนซ์ (Refinance) หรือรีเทนชั่น (Retention) เพื่อช่วยลดดอกเบี้ย ลดภาระค่างวด และช่วยให้คุณปลดหนี้ได้เร็วขึ้นครับ
โดย ความแตกต่างระหว่าง 2 อย่างนี้คือ
- Refinance – ย้ายหนี้ไปยังผู้ให้กู้รายใหม่ที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า
- Retention – ต่อรองกับไฟแนนซ์เดิมให้ลดดอกเบี้ยหรือปรับเงื่อนไขให้ดีขึ้น เพื่อให้คุณไม่ต้องย้ายไปรีไฟแนนซ์กับที่อื่น
ทั้งนี้เราจะตามหาดอกเบี้ยที่เรทดี ๆ ได้นั้น มีข้อแม้คือ คุณต้องผ่อนชำระตรงเวลา ไม่ขาดทุกงวด และไม่เคยมีการปรับโครงสร้างหนี้มาก่อน รวมไปถึงประวัติการผ่อนชำระอื่น ๆ ต้องดีด้วย โดยเฉพาะบัตรเครดิต
ถ้าทำตามนั้นได้ คุณจะเนื้อหอมครับ มีแต่แบงก์อยากจะเสนอดอกเบี้ยดี ๆ เพื่อดึงคุณให้ไปเป็นลูกค้าเค้าทั้งนั้นเลยล่ะ 🙂
สำหรับรายละเอียดเรื่องการ Refinance/Retention เดี๋ยวเราจะมาลงในรายละเอียดกันในบทความถัดไปครับ
[CLICK] แจกฟรี! Google Sheet: คำนวณสินเชื่อที่อยู่อาศัย
บทส่งท้ายก่อนซื้อบ้าน
ชีวิตคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วนะ…
จะเห็นได้ว่า Fixed-cost, Upfront Fee เยอะเหลือเกินสำหรับการซื้อบ้าน
ชีวิตคุณหลังจากนี้จะต้องมีกระแสเงินสด มีเงินสำรองเพียงพอต่อการผ่อนชำระตลอดเวลา
ถ้าเราวางแผนมาดี ชีวิตจะไม่ตึงเกินไป แต่ถ้าเราเกินตัว
เราจะต้องทนทำงานที่เราไม่ชอบมากขึ้น
เราอาจต้องทำงานหนักขึ้น พักผ่อนน้อยลง
เราอาจจะมีเวลาให้ครอบครัวน้อยลงไปอีกด้วย
เพราะฉะนั้น วางแผนกันดี ๆ และอย่าลืมเผื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันไว้เยอะ ๆ ครับ
“Anything that can go wrong will go wrong” – Murphy’s Law
หวังว่าเพื่อน ๆ จะได้ประโยชน์จากบทความนี้นะครับ ^^

