เรื่องการวางแผนความเสี่ยงและการประกัน นั้นถือเป็นอีก Topic ใหญ่ และมีความสำคัญสำหรับการวางแผนการเงินค่อนข้างมาก
ผมจึงตัดสินใจแยกออกมาเขียนอีกบทความในส่วนของ Wealth Clinic the Series ครับ
โดยในบทความนี้ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปวางแผนด้านความเสี่ยง และการประกันสำหรับบุคคล เราจะมาไล่ตั้งแต่
- พื้นฐานการบริหารความเสี่ยง
- วิธีการจัดการกับความเสี่ยง
- ความเสี่ยงเรื่องใดบ้างที่เราควรวางแผนไว้ล่วงหน้า
- ทำความเข้าใจกับบริษัทประกัน พร้อมอธิบายให้เห็นภาพรวมว่าประกันมีแบบไหนบ้าง
บทความนี้ผมตั้งใจเขียนเพื่อให้เพื่อน ๆ สามารถเอาไปเป็นแนวทางในการวางแผนให้ตัวเองได้ในขั้นพื้นฐาน ช่วยตัดสินใจซื้อประกันที่ตรงกับความต้องการของตนเองได้มากขึ้น และที่สำคัญคือเข้าใจสิ่งที่ตัวแทนประกันนำเสนอขายเรามากขึ้นครับ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกท่านครับ
Key Takeaways
- ความเสี่ยง คือสิ่งที่ไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบต่อบุคคลในแง่ของการสูญเสียหรือความเสียหายในอนาคต
- การวางแผนความเสี่ยงจะช่วยปกป้องแผนการเงินในด้านอื่น ๆ ของเราหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น
- เราสามารถจัดการความเสี่ยงได้ด้วยการ แบกรับความเสี่ยงเอง หรือ ให้คนอื่น (บริษัทประกัน) ช่วยแบกรับความเสี่ยง
- การทำประกันควรเอาเรื่อง ความเสี่ยงเป็นเรื่องหลัก ภาษีเป็นเรื่องรอง
- ชั่งน้ำหนักเรื่อง Impact vs Probability
- เบี้ยประกันควรไม่เกิน 5-10% ของรายได้
- ประกันสุขภาพควรวางแผนเผื่อระยะยาว เพราะถ้าสุขภาพไม่ดีแล้วการกลับมาทำประกันจะยากกว่ามาก
การวางแผนความเสี่ยง คืออะไร?

ความเสี่ยง หมายถึง ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบุคคลในแง่ของการสูญเสียหรือความเสียหาย เช่น การเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือการเสียชีวิต
เพราะฉะนั้นอยากให้เราคิดถึงเรื่องนี้เป็นอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ทางภาษี และไม่ใช่เรื่องผลตอบแทนที่ได้จากแบบประกัน (คิดได้แต่เป็นผลประโยชน์เรื่องรอง)
ซึ่งวิธีการจัดการกับความเสี่ยงสามารถทำได้สองวิธีครับ
- แบกรับความเสี่ยงไว้เอง
- ให้คนอื่นช่วยแบกรับความเสี่ยง
การแบกรับความเสี่ยงไว้เองก็คือเราเตรียมเงินสำรองสำหรับความเสี่ยงในเรื่องนั้น ๆ ไว้นั่นแหละ
ส่วนการให้คนอื่นมาช่วยแบกรับความเสี่ยงก็คือ เราให้บริษัทประกันมาแบกรับความเสี่ยงแทนเรา โดยที่เราจ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันครับ
ทำไมต้องวางแผนเรื่องความเสี่ยงด้วย ลงทุนอย่างเดียวไม่ได้หรอ?
การวางแผนความเสี่ยงควรเป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้การลงทุน หาเงิน การทำธุรกิจ ด้วยเหตุผลดังนี้ครับ
1. ลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด
การบริหารความเสี่ยงช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือการสูญเสียทรัพย์สิน
การมีแผนรองรับความเสี่ยง จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับเหตุการณ์นั้นได้ หากเราเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว
และถ้าให้ผู้อื่นช่วยแบกรับความเสี่ยงด้วย จะทำให้เราไม่ต้องรับภาระทั้งหมดเพียงลำพังเมื่อเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น
2. สร้างความมั่นคงทางการเงิน
การมีแผนการบริหารความเสี่ยงที่ดี จะช่วยปกป้องไม่ให้เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันไปกระทบแผนการเงินในส่วนอื่น ๆ ที่เราวางแผนไว้ครับ
คงเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ๆ หากเราต้องนำเงินแผนเกษียณของเรามาใช้รักษาตัวเองตอนที่เราป่วย
3. เพิ่มความมั่นใจในการดำเนินชีวิต (Peace of Mind)
Feature หลักไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำ Risk management ด้วยการรับไว้เอง หรือการทำประกันคือ
“Peace of Mind”
เมื่อเราบริหารความเสี่ยงได้ดี เราจะรู้สึกมั่นใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เพราะเรารู้ว่าเรามีแผนรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะตามมา
ทีนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องไหนเราควรแบกรับไว้เอง หรือให้คนอื่นช่วยแบก
ผมมีหลักการง่าย ๆ เอาไว้ช่วยตัดสินใจครับ
นั่นคือให้เราชั่งน้ำหนักเรื่อง
Impact vs Probability
Impact หมายความว่าผลกระทบ มูลค่าความเสียหายที่เราได้รับหากเกิดเหตุการณ์นั้น ๆ
Probability คือโอกาสหรือความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุนั้น ๆ

สิ่งที่เราต้องทำการบ้านคือชั่งน้ำหนักว่าในแต่ละเรื่องเราคิดว่าสำหรับเราแล้ว โอกาสและผลกระทบจะหนักมากแค่ไหน เกิดขึ้นจริงแล้วจะทำอย่างไร
จะรับความเสี่ยงไว้เองทั้งหมดไหม หรือแบ่งให้คนอื่นช่วยแบกรับความเสี่ยงส่วนนี้ไว้
ลองมาดูตัวอย่างกันครับ
ตัวอย่างที่ 1

- ความเสี่ยงเรื่อง: บ้านไฟไหม้
- Impact: สูงมาก
- Probability: โอกาสเกิดน้อย
- Action: เลือกให้บริษัทประกันวินาศภัยช่วยแบกรับความเสี่ยงตรงนี้ไว้
ตัวอย่างที่ 2

- ความเสี่ยงเรื่อง: โทรศัพท์เสีย
- Impact: น้อย เสียค่าใช้จ่ายในการซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ หรือซ่อมบางส่วน
- Probability: โอกาสเกิดมาก (โทรศัพท์อายุการใช้งานสั้น)
- Action: เลือกรับความเสี่ยงไว้เอง คิดว่าจะใช้เงินสำรองฉุกเฉินซ่อมโทรศัพท์
ในคน ๆ นึงเราควรวางแผนความเสี่ยงเรื่องอะไรบ้าง?
รวบรวมประเด็นทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องการวางแผนความเสี่ยงครับว่าเราควรคิดถึงเรื่งอะไรไว้บ้าง
ซึ่งในแต่ละหัวข้อ ผมแนะนำให้ผู้อ่านชั่งน้ำหนักระหว่าง Impact และ Probability ของตัวเองด้วยครับ ว่าเรามีไอเดียในแต่ละเรื่องอย่างไรบ้าง
1. ชีวิตและสุขภาพ
เสียชีวิต
หากเราเสียชีวิตก่อนวัยอันควร คนในครอบครัว หรือคนที่เราดูแลอยู่ เค้าจะดำเนินชีวิตต่ออย่างไร?
ภรรยา/สามีจะต้องรับภาระอะไรเพิ่มบ้าง?
พ่อแม่ที่เราส่งเงินดูแลเขาตอนนี้เขาจะดำเนินชีวิตต่ออย่างไร?
เงินทุนที่เราเตรียมไว้ตอนนี้จะพอให้ลูกจะได้รับการศึกษาตามที่เราหวังไว้หรือเปล่า?
ค่าเสียโอกาสของโอกาสในการทำงานในชีวิตที่เหลือตามอายุขัยคาดการณ์ของเราคิดว่าควรเป็นเท่าไหร่?
หุ้นส่วนของเรา หากเค้าเสียชีวิตไปก่อน จะกระทบกับธุรกิจของเรามากแค่ไหน?
โรคร้ายแรง
หากเราโชคร้ายเป็นโรคในกลุ่มโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง เราได้เตรียมจัดการความเสี่ยงเรื่องนี้ไว้ยังไงบ้าง
เรื่องพวกนี้เป็นแล้วอาจไม่ค่อยน่ากังวลเท่าเป็นแล้วไม่ตาย
เราวางแผนไว้ว่าจะดูแลตัวเองเรื่องเงินอย่างไรบ้าง ค่าสถานพยาบาล ค่ายา ค่าอุปกรณ์ ค่าคนดูแล
ส่วนตัวเรื่องนี้ผมค่อนข้างอินเพราะมีรุ่นพี่ที่ทำงาน อายุห่างกับผมไม่กี่ปี เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย และเสียชีวิตไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่ออกกำลังกายตลอด ร่างกายแข็งแรงด้วย เหตุการณ์เป็นเครื่องเตือนใจผมว่าชีวิตมันไม่แน่นอนจริง ๆ และอะไรก็เกิดขึ้นได้
ทุพพลภาพ
หมายถึง การสูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรือของร่างกาย หรือสูญเสียภาวะปกติของจิตใจจนไม่สามารถทำงานได้
คิดคล้าย ๆ กับโรคร้ายแรงครับ ว่าหากร่างกายเราเกิดเหตุที่ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ 100% เหมือนเดิมแล้ว เรามีไอเดียกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง และจะวางแผนอย่างไรหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับเราครับ
สวัสดิการด้านสุขภาพ และอุบัติเหตุ
ในปัจจุบันนี้สิทธิ์สวัสดิการรัฐเพียงพอต่อความต้องการของเราหรือไม่ โอเคกับการรอคิวนานไหม อยากได้รับการบริการอย่างไร อยากได้รพ.รัฐ หรือ เอกชน?
ถ้าเลือกรพ.รัฐฯ
เราอยากได้ยาตามสิทธิ์พื้นฐานทั้งหมดเลยไหม หรืออยากมีงบประมาณไว้เบิกยานอกบัญชียาหลักเพิ่มเติม
ยาบางชนิด สิทธิ์บัตรทอง ประกันสังคม เบิกตรง ไม่มีเหมือนกันครับ เช่น การรักษาโรคมะเร็งบางชนิดสามารถใช้ยามุ่งเป้าได้ ผลข้างเคียงอาจน้อยกว่า แต่จะไม่สามารถเบิกได้ ต้องจ่ายเองเพิ่มเติมครับ
ค่าอุปกรณ์สิ้นเปลืองบางอย่างที่ใช้ในการทำหัตถการทางการแพทย์ หรือการผ่าตัด ที่เราไม่สามารถเบิกได้เราวางแผนเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง
ถ้าเลือกรพ.เอกชน
ต้องยอมรับว่าการรักษาเอกชนส่วนใหญ่ให้บริการค่อนข้างดีครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรอคิว การบริการ ห้องนอน ความสะอาด การผ่าตัดบางอย่างที่เราสามารถเลือกได้
เช่น ผ่าตัดไส้ติ่ง เลือกผ่าแบบเปิดหน้าท้อง หรือแบบ ส่องกล้องได้ (Minimal Invasive)
ทีนี้ถ้าเลือกเอกชนแล้ว ก็ต้องมาดูครับว่า
เรามีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือไม่
เราจะรับความเสี่ยงในการเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาลไว้เองส่วนนึง หรือจะแบ่งให้คนอื่นทั้งหมด
หากมีสิทธิ์ และสวัสดิการของที่ทำงานแล้ว
ต้องถามตนเองเพิ่มว่าจะทำงานที่นี่ไว้ตลอดเลยไหม มีโอกาสย้ายงานไหม
หากเกิดอุบัติเหตุ หรือภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพแล้วเราไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ที่เรามีสิทธิ์ เราเตรียมเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง
อยากให้สวัสดิการเรื่องสุขภาพติดตัวกับเราไปทุกที่ โดยไม่ขึ้นกับที่ทำงานของเราหรือไม่
2. ทรัพย์สิน
- บ้าน: เราได้วางแผนรองรับกับการคุ้มครองความเสี่ยงจากไฟไหม้ น้ำท่วม หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ ไว้อย่างไรบ้าง?
- รถยนต์: เป็นอีกหนึ่งทรัพย์สินที่สำคัญ หากเกิดความเสียหายเราวางแผนเตรียมความเสี่ยงเรื่องในส่วนนี้อย่างไรบ้าง
3. งาน
ตกงาน
หากเราตกงานขึ้นมา เราได้วางแผนทางการเงินเพื่อรองรับรายได้ในช่วงที่ไม่มีงานหรือไม่? ใบ้ให้ก็คือจริง ๆ ตรงนี้มันอยู่ในเรื่อง เงินสำรองฉุกเฉิน นี่แหละครับ
เพราะไม่น่ามีใครมารับประกันเรื่องความเสี่ยงในการตกงานของเรา ฮ่า ๆ
ชดเชยรายได้หากเราป่วยนอนรพ./หรือเกิดอุบัติเหตุ
ในบางอาชีพจะได้ค่าตอบแทนตามชั่วโมงที่ทำงานด้วย อย่างเช่น แพทย์ ทีนี้ถ้าเราเกิดป่วยต้องนอนรพ.ขึ้นมา รายได้ส่วนนี้ของเราจะหายไป เราต้องการให้มีการชดเชยรายได้ในส่วนนี้หรือไม่ หรือเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินไว้พอหรือเปล่า
วิชาชีพ
เราได้วางแผนเรื่องความเสี่ยงในการความรับผิดชอบวิชาชีพการเตรียมตัวรองรับความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้อาชีพไว้หรือเปล่า?
ถ้าเราผ่าตัดผิดพลาดและเกิดการฟ้องร้องขึ้นเราได้วางแผนความเสี่ยงในเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง?
ผมเชื่อว่าไม่มีหมอคนไหนอยากทำร้ายคนตรง ๆ
แต่ลองนึกภาพว่าหมอผ่าตัดคนไข้ไป 10,000 คน การรักษาดีหมดเลย
แต่คนที่ 10,001 เราดันพลาด แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แม้หมอจะเก่งมาก ๆ แล้วก็ตาม
รู้จักกับบริษัทประกัน เขาทำงานยังไงกันนะ?

บริษัทประกัน คือบริษัทที่เข้ามาช่วยแบกรับความเสี่ยงของคนจำนวนมาก ๆ โดยเอาเงิน “เบี้ยประกัน” ที่เราจ่ายไปบริหารจัดการครับ
ยกตัวอย่างเรื่อง ประกันสุขภาพ
พอมีคนทำประกันเยอะ ๆ แต่ละคนก็จะมีความเสี่ยงด้านสุขภาพที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะสุขภาพดีออกกำลังกายบ่อย อายุน้อย โอกาสป่วยน้อย เข้าโรงพยาบาลน้อย บางคนมีอายุแล้ว สุขภาพไม่แข็งแรง โอกาสป่วยมากกว่า
พอบริษัทประกันรับประกันคนจำนวนมาก ๆ เข้ามาก็จะเกิดการแบ่งปันความเสี่ยงกัน
เมื่อมีคนป่วย บริษัทประกันก็จะนำเงินที่เก็บมาจากทุกคนที่จ่ายเบี้ยประกันไว้มาเป็นค่าใช้จ่ายช่วยเหลือคน ๆ นั้น (ค่าทดแทนสินไหม)
บริษัทประกันเขาได้กำไรยังไง?
แน่นอนว่าบริษัทประกันไม่ใช่องค์กรการกุศล แต่คือภาคเอกชนที่แสวงหากำไรจากการประกันครับ
เมื่อบริษัทประกันได้เบี้ยประกันมาจากเราแล้วเขาจะต้องเอาไปบริหารให้เกิดกำไร หลังหักค่าใช้จ่ายค่าต่าง ๆ ที่เป็นต้นทุนครับ ซึ่งบริษัทประกันจะสามารถทำกำไรได้หลัก ๆ ดังนี้
- เบี้ยประกันที่เก็บได้มากกว่าค่าสินไหมทดแทน: ถ้าบริษัทสามารถเก็บเบี้ยประกันได้มากกว่าค่าสินไหมทดแทนได้ ในส่วนที่เหลือนี้บริษัทประกันจะสามารถนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าการตลาด และที่สำคัญคือ นำไปลงทุนต่อยอด เพื่อสร้างผลตอบแทน
- การลงทุน: บริษัทประกันไม่ได้เก็บเงินส่วนเกินไว้เฉย ๆ แต่จะนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เงินทำงานและสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนนี้ก็จะนำมาเป็นส่วนหนึ่งของกำไรของบริษัท
- การกระจายความเสี่ยง: บริษัทประกันไม่ได้รับประกันภัยเพียงประเภทเดียว แต่จะรับประกันภัยหลายประเภท และกระจายความเสี่ยงไปยังกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้ความเสี่ยงโดยรวมลดลงนั่นเอง
เพราะฉะนั้นก่อนที่บริษัทประกันจะรับประกันภัยให้กับใครสักคน บริษัทประกันจึงจะต้องทำการประเมินความเสี่ยงของบุคคลนั้น ๆ ก่อน เช่น อายุ สุขภาพ อาชีพ ฯลฯ
เพื่อกำหนดเบี้ยประกันที่เหมาะสม ซึ่งการประเมินความเสี่ยงที่แม่นยำจะช่วยให้บริษัทประกันสามารถรับความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม และลดความเสี่ยงในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่สูงเกินไปครับ
ประกันมีกี่แบบ?
หลักการออกแบบประกันจะคล้าย ๆ การทำขนมครับ คือจะต้องเริ่มด้วย “แป้ง” เสมอ เราเรียกแป้งตรงนี้ว่า “สัญญาหลัก”
ส่วนเราจะทำขนมสอดไส้อะไร รสช็อคโกแล็ต หรือวานิลลา ตรงนี้เราจะเรียกว่า “สัญญาเพิ่มเติม”
ซึ่งแบบประกันหลักส่วนใหญ่ มักจะมาในรูปแบบของ “ประกันชีวิต” แล้วแนบ สัญญาเพิ่มเติม เป็น ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง ประกันชดเชยรายได้ หรือประกันอุบัติเหตุ ตามความต้องการครับ
1. ประกันชีวิต
ส่วนมากจะเป็นตัวเลือก ให้เราจ่ายเบี้ย 10 ปี 15 ปี หรือ 20 ปี แล้วให้ความคุ้มครองตลอดชีพตามทุนประกันครับ
เช่น จ่ายเบี้ย 20 ปี ปีละ 20,000 บาท ทุนประกันชีวิต 1,000,000 บาท หลังจากปีที่ 20 ทุนประกันนี้จะอยู่กับเราไปตลอดชีพตามที่ระบุสัญญาครับ
ตัวย่อจะเป็น 20/99 หมายถึง จ่ายเบี้ย 20 ปี คุ้มครองถึงอายุ 99 ปีครับ
2. ประกันสุขภาพ
ประกันสุขภาพแทบจะทุกแบบ ทุกบริษัท จะเป็นแบบจ่ายเบี้ยทิ้งปีต่อปี สัญญาต่ออายุปีต่อปี (อัตโนมัติ) เบี้ยไม่คงที่เพิ่มขึ้นตามอายุ และเป็นรูปแบบประกันที่เป็นสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งจะต้องแนบกับสัญญาหลัก เช่น ประกันชีวิตครับ
ทีนี้คำเตือนคือหากทำประกันสุขภาพ แล้วไปพ่วงกับสัญญาหลักที่ให้ความคุ้มครองแค่ 30 ปี เช่น (10/30 จ่ายเบี้ย 10 ปี คุ้มครอง 30 ปี)
ถ้าแบบประกันหลักหมดอายุความคุ้มครองแล้ว ประกันสุขภาพของเราก็จะโดนยกเลิกไปด้วย ถ้าอยากให้มีความคุ้มครองตรงนี้ไปเรื่อย ๆ เราจะต้องทำประกันใหม่ และแถลงสุขภาพใหม่หมด
ซึ่งหากประวัติสุขภาพของเราเปลี่ยนไป เป็นประวัติขึ้นมาแล้ว การกลับมาทำประกันจะยากขึ้นครับ
ดังนั้นประกันสุขภาพ ควรแนบไปกับสัญญาหลักที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีวิต เพื่อจะได้ไม่ต้องมาแถลงสุขภาพแล้วครับ
และควรไว้ทำตั้งแต่ตอนอายุน้อย ๆ สุขภาพดี เพราะถ้าไปทำตอนอายุเยอะ แล้วสุขภาพเปลี่ยนไป เบี้ยจะโดนปรับขึ้น หรืออาจโดนปฏิเสธได้ครับ
โดยแบบประกันสุขภาพจะแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ ดังนี้ครับ
- OPD (ผู้ป่วยนอกโรงพยาบาล): ช่วยเบิกค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เช่น ค่ายา ค่าตรวจสุขภาพ และการรักษาในแผนกผู้ป่วยนอก
- IPD (ผู้ป่วยในโรงพยาบาล): เป็นประกันที่คุ้มครองการรักษาแบบนอนโรงพยาบาล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก:
- แบบเหมา: บริษัทประกันจะให้วงเงินรวมรายปี เช่น วงเงิน 5 ล้านบาท ซึ่งจะใช้จ่ายได้จนกว่าจะถึงวงเงินที่กำหนด
- แบบแยกรายการ: จะมีการล็อกวงเงินแต่ละรายการ ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะถูกจำกัดและต้องคำนวณแยกออกเป็นส่วนๆ ตามที่ระบุในกรมธรรม์ เช่น ค่าผ่าตัด 100,000 บาท, ค่าห้อง 5,000 บาท, ค่าแพทย์ราววอร์ด 2,000 บาท
นอกจากนี้อยากให้คิดวงเงินค่ารักษาเผื่อระยะยาวด้วยครับ เพราะประกันสุขภาพ จะสามารถพ่วงกับการวางแผนการเกษียณในส่วนของ Long-term Healthcare ด้วย เดี๋ยวไว้จะมาแชร์ไอเดียให้ฟังในบทความถัด ๆ ไปครับ
3. ประกันโรคร้ายแรงและทุพพลภาพ
ประกันโรคร้ายแรงและทุพพลภาพ มักจะเข้าใจไม่ยากครับ
ส่วนมากจะเป็นแบบเจอ จ่าย จบ ครับ
เช่น เบี้ยปีละ 10,000 บาท ทุนประกัน 3,000,000 บาท
หากเป็นโรคมะเร็งระยะรุนแรง ก็จ่ายเงินก้อนเลย 3,000,000 บาทครับ
หากเป็นระยะไม่รุนแรงก็อาจจะจ่ายบางส่วนมาก่อนส่วนนึง เช่น 10% 30% 40%
บางบริษัทก็จะมีจ่ายเบิ้ลหากเป็นโรคในกลุ่มที่กำหนด หรือแบ่งจ่ายรายเดือนเพิ่มเติมกรณีทุพพลภาพ
ตรงนี้แล้วแต่แบบประกันของแต่ละบริษัทที่จะต้องไปศึกษาเพิ่มเติมครับ
แบบประกันแบบนี้ต่างจากประกันสุขภาพทั่วไปตรงที่ บริษัทประกันจะจ่ายเงินก้อนเข้ากระเป๋าเราทันที หลังจากที่ได้รับการวินิจฉัยตามเงื่อนไขของโรคร้ายแรงนั้น ๆ
ซึ่งเราจะสามารถนำเงินก้อนนี้ไปใช้จ่ายยังไงก็ได้แล้ว แต่เรา
จะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายการดูแลในการรักษาต่าง ๆ นอกโรงพยาบาลก็ได้
หรือบางคนมีไอเดียว่า ถ้าเป็นโรคร้ายจริง ไม่อยากให้วาระสุดท้ายของชีวิตตัวเองเศร้าหมองในโรงพยาบาล อยากเอามาซื้อความสุขในบั้นปลาย เช่น เที่ยวรอบโลก แบบนี้ก็ทำได้เช่นกันครับ
ซึ่งถ้าเป็น ประกันสุขภาพ/อุบัติเหตุ ในแบบอื่น ๆ บริษัทประกันจะจ่ายเงินค่าใช้จ่ายให้กับโรงพยาบาล (ไม่ได้จ่ายเข้ากระเป๋าเรา)
4. ประกันชดเชยรายได้
เป็นการทำประกันเพื่อชดเชยรายได้หากเราไม่สามารถทำงานได้จากการนอนโรงพยาบาล
แบบประกันนี้จะช่วยให้เราไม่ต้องสูญเสียรายได้ในช่วงที่ไม่สามารถทำงานได้ตอนเราป่วย
แบบประกันแบบนี้ส่วนมากคิดจะคิดเป็นค่าชดเชยรายวันครับ เช่น
หากทำประกันชดเชยรายได้ วันละ 3,000 บาท และป่วยนอนโรงพยาบาล 5 คืน เราก็จะได้ค่าชดเชยเป็น 3,000 x 5 = 15,000 บาท ครับ
5. ประกันอุบัติเหตุ
ตรงนี้มีไว้เพื่อค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยรายได้ และทุนประกันหากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครับ
มีไว้เพื่อปิดความเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุเพิ่มเติมจากค่ารักษาพยาบาลแบบ IPD ครับ
6. ประกันวินาศภัย
- รถยนต์: คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์
- บ้าน: คุ้มครองบ้านจากภัยธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว
- วิชาชีพ: ประกันความรับผิดทางวิชาชีพที่ครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากข้อผิดพลาดในการทำงาน เช่น กรณีทนายความหรือแพทย์
7. ประกันประเภทอื่น ๆ
นอกจากนี้จะมีประกันแบบอื่น ๆ ที่ผมไม่ได้กล่าวถึง เพราะมองว่าอยุ่ในหมวดอื่นของการวางแผนการเงินครับ
- สะสมทรัพย์: ประกันที่เหมาะสำหรับคนที่ออมเงินเองไม่อยู่จริง ๆ และอยากได้วินัยในการออมเงินตามเป้าหมายที่สำคัญ ๆ มากขึ้น เช่น การดาวน์บ้าน ดาวน์รถ หรือการจัดสรรทุนการศึกษาสำหรับบุตร
- ประกันบำนาญ: เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้เรามีรายได้หลังเกษียณ
- Unit-linked: ประกันที่ควบคู่กับการลงทุน โดยบางส่วนของเงินที่เราจ่ายไปจะถูกนำไปลงทุนในกองทุนรวม อันนี้ค่อนข้างซับซ้อน และต้องอธิบายในรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ขอติดไว้เขียนในบทความถัดไปฮะ
วางแผนทำประกันอย่างไรให้เหมาะสม

1. กำหนดเบี้ยประกันที่เหมาะสม
ควรจัดสรรเงินที่ใช้จ่ายค่าการประกันให้ไม่เกิน 5-10% ของรายได้ เพราะหากจ่ายมากเกินไป อาจส่งผลกระทบกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ครับ และจะไปกระทบแผนการเงินด้านอื่น ๆ อีกเช่น แผนการเกษียณ แผนการออมเพื่อซื้อบ้าน
2. กำหนดทุนประกันที่เหมาะสม
2.1) ทุนประกันที่เหมาะสมของทรัพย์สิน
ควรกำหนดวงเงินประกันให้พอเหมาะกับมูลค่าของทรัพย์สิน เช่น บ้านหรือรถยนต์ ถ้าเป็นบ้านโดยปกติแล้วธนาคารจะเสนอให้ทำประกันตามวงเงินที่เรากู้มาครับ ส่วนรถยนต์ลองดูราคา และค่าซ่อมของรุ่นที่เราซื้อมาว่าเท่าไหร่ถึงเหมาะสมครับ
2.2) ทุนประกันที่เหมาะสมของประกันชีวิต
ตรงนี้มีหลายไอเดียมาก แต่ไอเดียหลัก ๆ คือมีวงเงินที่เพียงพอต่อการดูแลคนข้างหลังครับ ตรงนี้แต่ละคนจะไม่เหมือนกันครับ
เช่น นาย A เพิ่งเริ่มทำงาน โสด ไม่มีหนี้ อยู่คนเดียว พ่อแม่เป็นข้าราชการเกษียณแล้ว ไม่ต้องดูแลใคร อาจจะไม่มีประกันชีวิตเลยก็ได้ครับ
นาย B เป็นผู้บริหารระดับสูง ผ่อนคอนโด 1 หลัง รถ 1 คัน ภรรยาเป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูก 1 คนส่งเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ส่งเงินดูแลพ่อแม่ใช้จ่ายชีวิตประจำวัน แบบนี้อาจจะต้องวางแผนเรื่องประกันชีวิตไว้ให้คลอบคลุม เพราะหากนาย B เป็นอะไรไปจะกระทบต่อชีวิตภรรยา พ่อแม่ และอนาคตบุตรทันทีครับ
2.3) ทุนประกันที่เหมาะสมของประกันสุขภาพ นอนโรงพยาบาล/ตรวจผู้ป่วยนอก/โรคร้ายร้ายแรง/ชดเชยรายได้
อาจจะต้องคิดเป็นรายคนไปครับ เพราะแต่ละคนมีไอเดียและวางแผนชีวิตไม่เหมือนกัน
เช่น สำหรับคนทำงานบริษัทเอกชน หรือฟรีแลนซ์ อาจพิจารณาทำประกันสุขภาพ โรคร้ายแรง อุบัติเหตุ ไว้ทั้งหมด ถ้าไม่อยากใช้รบ.รัฐเลย
หากเป็นราชการที่มีสวัสดิการด้านสุขภาพดีอยู่แล้ว โสด ไม่มีภาระ อยู่บ้านข้าราชการ มั่นใจว่าทำงานจนเกษียณแน่นอน สุขภาพแข็งแรง ออกกำลังกายตลอด อาจมีแค่ประกันโรคร้ายแรง และอุบัติเหตุ ก็ได้ครับ
จะเห็นได้ว่าการวางแผนความเสี่ยงส่วนบุคคลส่วนใหญ่แล้ว เรื่องชีวิตและสุขภาพ เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อเราค่อนข้างมาก นอกจากการลงทุนเพียงอย่างเดียว
เพราะแม้ผมจะจบสายการแพทย์มา แต่ก็มองว่าเรื่องเงินก็ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพของมนุษย์คนนึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกันครับ
หวังว่าบทความนี้จะช่วยทำให้เพื่อน ๆ สามารถนำไปใช้วางแผนเรื่องความเสี่ยงได้ เข้าใจความต้องการของตนเองเรื่องความเสี่ยงมากขึ้น และสามารถคุยกับตัวแทนประกันได้รู้เรื่องขึ้นครับ
ในบทความต่อไปผมจะมาแชร์เรื่องที่เราควรต้องระวังในการพิจารณาก่อนทำประกัน เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันเพื่อน ๆ ในการรักษาผลประโยชน์ของตนเองสำหรับการประกันครับ
สำหรับใครที่สนใจอยากปรึกษาวางแผนการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
🔹 วางแผนการเงิน รายรับรายจ่าย Budgeting ทำงบการเงิน จัดการ cash flow และ debt management
🔹 วางแผนการลงทุน กองทุนรวม
🔹 วางแผนการจัดการความเสี่ยงและการประกัน
🔹 วางแผนการเกษียณ
🔹 วางแผนภาษีบุคคลธรรมดา 🩺ภาษีแพทย์/ทันตแพทย์
🔹 วางแผนด้านการส่งต่อมรดก
โดยเลือกเฉพาะเรื่อง หรือเลือกแบบองค์รวมก็ได้เช่นกัน
สามารถติดต่อเข้ามาในเพจได้เลยครับ
Isara Wealth – บันทึกการเงิน และการลงทุน


Pingback: Wealth Clinic The Series EP03 การวางแผนเกษียณ [แจกฟรี! Retirement Planning Tool] – Isara Wealth