วันนี้ผมนำสรุปบทเรียนที่ผมชอบทั้งหมด 11 ข้อ จากหนังสือ Hidden Potential: The Science of Achieving Greater Things เขียนโดยคุณ Adam Grant อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านจิตวิทยาองค์กรจาก Wharton School, University of Pennsylvania มาแชร์ให้เพื่อน ๆ ทุกคนครับ
โดยหนังสือเล่มนี้เน้นไปในเรื่องของการพัฒนาทักษะด้าน Soft Skill ซึ่งคุณอดัมคิดว่าเป็นฟันเฟืองที่สำคัญเกี่ยวกับการดึงศักยภาพของตัวเองออกมาครับ
อย่ายึดติดอยู่กับการเรียนแบบเดียว
หลายคนมักเคยได้ยินเรื่อง การเรียน 4 แบบ ที่เหมาะสมกับแต่ละคน บางชอบภาพ บางคนชอบฟัง บางคนชอบอ่านและเขียน บางคนชอบเน้นการใช้ร่างกายลงมือทำ
ความเชื่อเดิม ๆ ปลูกฝังให้เราเลือกวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมและเราชอบ
แต่คุณอดัมแย้งไม่เห็นด้วย การเรียนในแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสีย และความเหมาะสม ถ้าจะฝึกการคิดวิเคราะห์ การอ่านและเขียน เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ฝึกให้ชินกับความไม่เคยเคยชิน
อยากเรียนรู้ได้เร็ว ต้องชินกับความลำบากในการเรียน ยิ่งลำบากยิ่งดี เพราะยิ่งจะทำให้เราลงมือทำทั้ง ๆ ที่ยังไม่พร้อม และเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งจะเป็นตัวที่ทำให้เรียนรู้ได้เร็วที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น อยากพูดภาษาที่ 2 ได้ดี ให้เราออกไปพูดเลยแบบผิด ๆ ถูก ๆ ยิ่งเรากล้าผิดพลาดเยอะ เรายิ่งเรียนรู้ภาษาได้เร้วมากขึ้น การรอแต่เรียนในคลาส เรียนแกรมม่าให้เป๊ะก่อน แล้วค่อยออกไปใช้ไม่ใช้วิธีที่เรียนรู้ได้เร็วเท่าไหร่นัก
เลียนแบบการเรียนภาษาของเด็ก เด็กเลือกที่จะฟังแล้วพูดตามทันที ออกเสียงผิดออกเสียงถูกบ้าง ผิดไวทยากรณ์บ้างถูกบ้าง แต่สุดท้ายก็สามารถที่จะเรียนรู้ภาษานั้นได้ทันที เป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กเรียนภาษาที่ 2 หรือ 3 ได้เร็วกว่าผู้ใหญ่มาก ๆ เพราะเด็กเรียนแล้วทำเลยทันที
ประโยคนึงที่ผมชอบมากจากบทนี้คือ การเรียนที่สบาย มีรูปสวย ๆ มีคนสรุปให้ เป็นเรื่องย้อนแย้งที่หลอกเราว่าจะช่วยให้เราเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราไม่มีทางเชี่ยวชาญในทักษะ ๆ หนึ่ง แบบสบาย ๆ โดยที่ไม่ผ่านความไม่เคยชินมาก่อน

ปรับ Mindset ให้กลายเป็นฟองน้ำพร้อมดูดซับความรู้อย่างเต็มที่
อดัมสรุปว่าการที่เราจะสามารถดูดซึมการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ดีนั้นขึ้นอยู่กับสองเรื่อง
- 1 วิธีการรับข้อมูลของคุณว่า คุณรอคนอื่นป้อน หรือคุณเลือกกระตือรือร้นในการค้นหาความรู้ ทักษะ และมุมมองใหม่? (Reactive vs Proactive)
- 2 คุณมุ่งเน้นไปที่การเติมเต็มอีโก้ หรือการเติบโตของคุณ? (Ego vs Growth)
ถ้าเราเป็นคนรอแต่คนอื่นป้อน และอีโก้สูง แบบนี้จะทำให้เราติดอยู่ในกำแพง Comfort Zone ของตัวเอง จำกัดการเรียนรู้ของตนเอง ปฏิเสธการเรียนในสิ่งใหม่ ๆ เพราะกลัวว่าตัวเองจะดูไม่ดีในสายตาคนอื่น
ถ้าคุณเป็นคนกระตือรือร้น แต่ขับเคลื่อนด้วยอีโก้ คุณจะจะเปิดรับการเรียนรู้ได้มากก็จริง แต่คุณจะไม่สามารถรับมือกับการโดนวิจารณ์ (ในเชิงสร้างสรรค์) และคำตำหนิจากผู้อื่นได้ ทำให้คุณไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่
ถ้าคุณมี Growth Mindset ที่รอแต่คนอื่นป้อน ข้อดีก็คือคุณสามารถรับฟังความเห็นได้ อีโก้น้อย เป็นคนที่ Coachable แต่ข้อเสียก็คือคุณจะไม่สามารถเรียนรู้สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากเรื่องที่คุณเอื้อมถึงง่าย ๆ การเติบโตของคุณจำกัดอยู่กับการรอคนอื่นมาป้อนข้อมูลให้คุณ
Sweet spot ที่คุณอดัมอยากให้เราปรับ Mindset คือเป็นคนกระตือรือร้นและมี Growth Mindset พวกเขากลายเป็นเหมือนฟองน้ำ สามารถแผ่ขยายตัวเองและปรับตัวตามโลกด้วยตัวคุณเอง โดยไม่ต้องรอผู้อื่นมาป้อนคุณเสมอไปคุณลักษณะของตัวละครนั้นมีค่ามาก โดยเฉพาะเมื่อเล่นกับคุณ
เลือกฟังให้ดี
ไม่ใช่ว่าทุกคำวิจารณ์จะช่วยให้เราเติบโตได้เสมอไป เลือกฟังให้ถูกคน เพื่อที่จะเราจะได้ React กับคำวิจารณ์นั้นได้ถูก คุณอดัมสรุปจากงานวิจัยต่าง ๆ ว่าเราควรเลือกให้น้ำหนักฟังความเห็นแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังรูป

เลิกเป็น Perfectionist
การโฟกัสการทำงานในดีที่สุด กับ Perfectionism เป็นคนละ Mindset กัน Perfectionism คือความกลัวในการทำผิดพลาด ยิ่งในยุคปัจจุบันการเกิดขึ้นมาของ Social Media ทำให้เด็กรุ่นใหม่กลัวความผิดพลาดมากขึ้น
เพราะเราเห็นแต่สิ่งที่ Perfect บนโลกโซเชียล ไม่มีใครโพสสิ่งที่เค้าไม่อยากโพสลองบนโลกออนไลน์นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยด้วยว่าความ Perfectionism ไม่ได้ช่วยให้เราทำงานดีขึ้นมากไปกว่าคนอื่นเท่าไหร่นัก

ยิ่งกลัวความผิดพลาด ยิ่งกลัวการเสียภาพลักษณ์ ยิ่งทำให้เรามองโลกแคบ ยิ่งไม่เติบโต
วิธีแก้ความเป็น Perfectionist
ฝึกยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง
คนอื่นไม่ค่อยมาสนใจความผิดพลาดของเรามากเท่าไหร่อย่างที่เราคิดมากขนาดนั้น คุณอดัมสรุปจากงานวิจัยว่า ผู้คนมักจะไม่ได้จำข้อผิดพลาดเล็ก ๆ มากเท่าตัวเราขนาดนั้น
เช่น ถ้าเราเป็นช่างภาพ หากมีรูปนึงที่เลนส์เปื้อนรอยนิ้วมือสักรูปสองรูป คงไม่มีใครว่าว่าคุณเป็นช่างภาพที่แย่ทันที หรือตัวอย่างจากบุคคลระดับโลกอย่าง Steve Jobs คนทั่วไปอย่างเราเองจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า Steve Jobs ทำโปรดักส์อย่าง Apple Lissa ที่เจ๊งไม่เป็นท่า
หรือให้เราลองนึกถึงเพลงที่ไม่ดังของ Beethoven ดูบ้างว่ามีเพลงอะไรบ้าง? ผมเชื่อว่าถ้าไม่ใชแฟนพันธุ์แท้เพลงคลาสสิกจริง ๆ ก็คงจะนึกออกยาก แต่ถ้าถามว่าเพลงไหนของ Beethoven ดังบ้าง? แบบนี้เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงเพลงอย่าง Fur Elise, Ode to Joy, Symphony No. 5 ได้ไม่ยาก
เปรียบเทียบตัวเองในอดีต อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น
พยายามเลือกที่จะเปรียบเทียบตัวเองในอดีตอยู่เสมอ จริงอยู่ที่ในโลกแห่งความเป็นจริงการแข่งขันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้นด้วยเช่นกัน
Swing and miss
ตั้งเป้าหมาย แค่พอให้รู้ทิศทางก็พอ คนส่วนใหญ่คิดว่าการที่เราจะประสบความสำเร็จได้เราต้องรู้แผนที่อย่างละเอียด ตั้งแต่วันแรก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ขอแค่เรารู้ทิศทางที่เราจะไปก็เพียงพอแล้ว สำหรับการพัฒนาตนเอง รายละเอียดที่เหลือจะตามมาหลังเราลงมือทำแล้วเท่านั้น

Growth is not linear
ทำใจว่าการเติบโตไม่ใช่เส้นตรงตลอด ในช่วงแรกของการเรียนรู้เราจะรู้สึกว่าเราพัฒนาตัวเองได้เร็วมาก จนเมื่อเรามีทักษะระดับหนึ่งเราจะรู้สึกเหมือนเราไม่ไปไหน แต่ในความเป็นจริงแล้วการเติบโตไม่ได้เป็นเส้นตรงซะทีเดียว เราอาจจะมีความสามารถพร้อมแล้ว แต่โอกาสยังไม่เข้ามาหาเราทันทีเท่านั้นเอง

การสวมหมวกหลายใบอาจช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น
หลายคนมักคิดว่าการมี Side Project/Side Hustle ที่จริงจังเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากงานประจำจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานประจำแย่ลง และไม่โฟกัส แต่คุณอดัมเล่าว่าผลจากงานวิจัยเป็นไปในทางตรงกันข้ามครับ
งานวิจัยพบว่าคนที่มี Side Hustle นอกเหนือจากงานประจำกลับมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น เพราะการทำงาน Side Hustle ทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทั้งจากความ Productive ของเรา และการได้เห็นการเติบโตของตัวเองแม้จะเป็นก้าวเล็ก ๆ แต่มีข้อแม้นะครับว่า Side Project ที่เราทำต้องไม่เกี่ยวข้องกับงานประจำ
เปลี่ยนวิธีการ Brainstorming
หลายคนคุ้นเคยกับกิจกรรม Brainstorming ประชุมกับทีมเพื่อหาไอเดียใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา/พัฒนาองค์กร โดยให้สมาชิกรวมกลุ่มกันออกไอเดีย แล้วมี Moderator เขียนไอเดียลงประดาน
แต่คุณอดัมแย้งว่ามีหลักฐานงานวิจัยพบว่าการทำ Brainstorming วิธีนี้ทำให้เราพลาดโอกาสการเค้นไอเดียดี ๆ จากทีมของเราไปมากด้วยเหตุผลสามข้อหลัก ๆ คือ เหตุผลแรกคืออีโก้ของเรา ไม่มีใครอยากดูโง่ในสายตาคนอื่น
เรามักกลัวว่าไอเดียของเราจะดูแย่ ทำให้เราอาจพลาดไอเดียที่คิดนอกกรอบจากทีมของเราได้ เหตุผลข้อที่สองคือมารยาทในห้องประชุมจำกัดให้การ Brainstorming เราพูดได้แค่ทีละคน ทำให้ไอเดีย และเหตุผลที่สามคือเรามักจะคล้อยตามไอเดียของคนที่มีตำแหน่งมากกว่าเรา
เช่น พนักงานมักรู้สึกลึก ๆ ว่าควรทำตามไอเดียของหัวหน้ามากกว่า สิ่ง่ที่คุณอดัมแนะนำคือให้แยกกันออกไอเดีย เขียนใส่กระดาษแบบไม่บ่งบอกตัวตน แล้วนำกระดาษนั้นมานั่ง Discuss กันทีละข้อ จะเป็นการ Brainstorming ที่มีประสิทธิภาพ และกลบข้อเสียทั้งสามข้อดังกล่าวออกไปได้มากขึ้นครับ
อย่าดูคนแค่อดีต ให้ดูแนวโน้ม
เวลาดูคนอย่าดูแค่ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง แต่ในดูแนวโน้มในการเติบโตของเขา หลายคนมักประเมินศักยภาพของคนที่เราจะพาเขามาร่วมงานด้วยจากผลงานหรือประวัติในอดีต เรียนจบอะไรมา เคยทำงานที่ไหน
แต่คุณอดัมบอกว่าเราควรดูแนวโน้มของการเติบโตของคน ๆ นึงด้วย บางคนอาจจะไม่ได้เรียนจบมหาลัยชั้นนำ ไม่ได้เกียตรนิยม แต่มีการพัฒนาตนเองให้เติบโตเรื่อย ๆ มีโปรเจค
นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญมากกว่า Qualifications ต่าง ๆ คือเราต้องประเมินให้ดีว่าคน ๆ นั้นมีแรงบันดาลใจและความตั้งใจที่จะทำงานกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ด้วยหรือไม่

Bottomline
เป็นหนังสืออีกเล่มที่อ่านง่ายมาก และมีวิธีการเขียนที่ลื่นไหลตามสไตล์ของคุณ Adam Grant พร้อมสรุปแหล่งอ้างอิงงานวิจัยออกมาเยอะมาก คิดว่าอยากให้ทุกคนได้ลองอ่านดูครับ
ส่วนตัวผมชอบเนื้อหาในพาร์ทแรก ๆ ไปจนถึงประมาณ 67% ของเนื้อหา ส่วนเนื้อหาบทท้าย ๆ ผมมีความรู้สึกว่าหลายบทย่อยมีความเชื่อมโยงกับประเด็นที่เกริ่นมาตั้งแต่ตอนแรกค่อนข้างน้อย
แต่โดยรวมแล้วผมคิดว่าควรค่าแก่การอ่าน มีประโยชน์ในประเด็นการพัฒนา Soft Skill ที่เราอาจมองข้ามไปได้ครับ
หวังว่าเพื่อน ๆ ทุกคนจะได้ประโยชน์จากบทความนี้นะครับ 🙂

