💼 IP License คืออะไร?
Investment Planner (IP) คือใบอนุญาตที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำหรับการให้คำแนะนำด้านการลงทุนแก่นักลงทุน ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตนี้สามารถวางแผนการลงทุนอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อตอบสนองความต้องการและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุน
📋 คุณสมบัติของ IP License
- จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป (ไม่จำกัดสาขา)
- ทดสอบผ่านหลักสูตรต่อไปนี้:
- ผู้แนะนำการลงทุนตราสารทั่วไป (IC plain: Full paper)
- ตราสารที่มีความซับซ้อน: ตราสารหนี้และกองทุนรวม (P2)
- ตราสารที่มีความซับซ้อน: สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (P3)
- หลักสูตรนักวางแผนการเงิน (Certified Financial Planner: CFP) เฉพาะโมดูลที่ 1 และ 2
- Module ที่ 1: พื้นฐานการวางแผนการเงิน ภาษี และจรรยาบรรณ
- Module 2: การวางแผนการลงทุน

📚 เตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
🖥️ IC: ย่อมาจาก Investment Consultant หรือผู้แนะนำการลงทุน เป็นใบอนุญาตที่รับรองโดยกลต. แบ่งเป็น 3 ระดับ Plain, Paper 1 (P2) และ Paper 3 (P3) ครับ มีไว้เพื่อวัดความรู้ว่าเราสามารถแนะนำ/ขายสินค้าทางการเงินให้กับนักลงทุนได้ไหมในสินค้าทางการเงินแต่ละประเภท เช่น ตราสารหนี้ กองทุนรวม อนุพันธ์ ส่วนนี้โดยรวมผมว่าค่อนข้างง่าย และไม่ได้กดดันมากเท่า CFP แต่ก็ต้องเตรียมตัวอยู่ดีนะครับ

- IC Plain: ผมใช้เวลาเตรียมตัวประมาณ 10 วัน ผมเลือกเรียนคอร์สติวกับทาง ATI-ASCO ราคา 1,600 บาท เพราะค่าสอบ 1,200 บาทแล้ว แต่ 1,600 รวมทั้งค่าสอบ และค่าติวแล้ว (เพิ่มมาแค่ 400 บาท) ผมแนะนำนะคิดว่าค่อนข้างคุ้มเลย ส่วนที่ยากที่ของ IC plain ผมคิดว่าคือจรรยาบรรณ ต้องทำให้ได้ 70% เท่านั้นไม่งั้นปัดตก แนะนำให้ดูคำศัพท์และ แยกหัวข้อดี ๆ เช่น เรื่องความไม่ธรรม กับเรื่องความไม่ซื้อสัตย์ต่อนักลงทุน เป็นคนละกรณีกัน
- IC P2 & P3: ผมใช้เวลาเตรียมตัวอย่างละ 1 สัปดาห์ สำหรับ IC P3 ผมว่าถ้าใครที่ไม่มีพื้นฐานด้าน Futures, Options, CFDs เลย แนะนำให้เผื่อเวลาอ่านทำความเข้าใจมากกว่านี้หน่อย ส่วนตัวผมเทรดพวกนี้อยู่แล้วจึงไม่ได้รู้สึกว่าเนื้อหาเยอะ ส่วนใหญ่เลยเน้นไปทำข้อสอบครับ แหล่งเรียนรู้ผมแนะนำหนังสือสรุปเนื้อหา และตะลุยโจทย์ของพ่อบ้านนักลงทุน สรุปไว้ค่อนข้างครบและถ้าเข้าใจหมดก็เพียงพอต่อการสอบผ่านครับ
🤓CFP: ย่อมาจาก Certified Financial Planner ซึ่งเป็นคุณวุฒิสำหรับนักวางแผนการเงินโดยสมาคมนักวางแผนการเงินแห่งประเทศไทยครับ โดยจะมีอยู่ทั้งหมด 6 บทเรียน และการสอบทั้งหมด 5 ครั้ง พร้อมกับต้องมีประสบการณ์ด้านการเงินและเกี่ยวข้อง

- CFP Module 1 (M1)
- ผมอบรมกับ Thai PFA ราคา 10,000 บาท เรียนสามวันเต็มทั้งวัน แล้วก็อ่านหนังสือของสมาคมนักวางแผนการชุดวิชาที่ 1 เล่มสีน้ำเงินประกอบด้วยครับ คอร์สของทาง Thai PFA จะดีหน่อยคือเรียนแล้วแถมคอร์สตะลุยโจทย์มาให้ด้วย แถมอาจารย์สอนดีมากครับ อย่างเรื่องภาษีก็เอาวิทยากรจากกรมสรรพากรมาอธิบายให้เราฟังเลย
- นอกจากนี้ผมทำโจทย์ในหนังสือตะลุยโจทย์ CFP M1 ของเพจพ่อบ้านนักลงทุน (อีกแล้ว ฮ่า ๆ) ทั้งหมดเพิ่มครับ
- สำหรับการสอบ M1 ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็จรรยายรรณเลยลุ้นมากตอนทำข้อสอบ
- ผมแนะนำให้เตรียมตัวสัก 2-3 อาทิตย์ก่อนสอบ อย่าประมาทกับข้อสอบ CFP เพราะเนื้อหาค่อนข้างเยอะ อย่างภาษีนี้ไม่มีทางเลือกคือต้องจำจริง ๆ และจรรยาบรรณก็ต้องผ่านเกิน 70% ไม่งั้นปัดตกต่อให้พาร์ทอื่นเต็ม ในรอบที่ผมสอบผมรู้สึกว่าข้อสอบค่อนข้างยาก แต่ยากแบบมีเหตุผลนะครับ เป็นการวัดความรู้ได้ดีเลย (ผลสอบออกจึงไม่แปลกใจเพราะรอบที่ผมสอบ Passing rate 19% ถือว่าต่ำมาก ๆ)
- CFP Module 2 (M2)
- ผมเลือกเรียนที่ AIMC เพราะว่ารอบนั้นพี่เอ จาก A-academy มาสอนตัวเป็น ๆ เลยยอมบินไปเรียนสด เพราะอยากเจอพี่เอนี่แหละครับ ฮ่า ๆ 🤣 ซึ่งคุ้มค่ามากครับ แถมจำนวนผู้เรียนในห้องสดน้อยด้วย เลยทำให้วิทยากรดูแลทั่วถึงครับ ขอชื่นชมสไลด์ดี ละเอียด ครบมากครับ ผมอ่านแต่สไลด์ที่สถาบันให้มาอย่างเดียวไม่ได้อ่านหนังสือเลยก็ผ่านมาได้ แต่ติดอย่างนึงคือเสียดายไม่มีคอร์สตะลุยโจทย์ครับ
- ผมเลยไปเรียนส่วนตะลุยโจทย์กับทาง Thai FPA สำหรับการเตรียมตัวสอบ Module นี้ยอมรับว่าผมค่อนข้างไฟไหม้พอสมควรเพราะช่วงนั้นทั้ง ป.เอก ทั้งงานคลินิก ทั้งการเทรดและลงทุนของตัวเองมีเรื่องให้มาพร้อมกัน แต่ก็โชคดีที่ผ่านมาได้ครับ
- ถ้าใครจะเตรียมตัวเอารอบเดียวผ่านแนะนำจัดตารางอ่านหนังสือดี ๆ เพราะเนื้อเยอะมากกกกกแหล่งการเรียนนอกจาก สไลด์ของสถาบัน AIMC แล้วก็มีทำโจทย์ของ Thai FPA ในคอร์สตะลุยโจทย์ และทำโจทย์เพิ่มเติมจากหนังสือรวมข้อสอบของพ่อบ้านนักลงทุนเช่นเคยครับ
🎯 Tips สำหรับคนที่กำลังจะสอบ
- อยากให้เน้นทำความเข้าใจก่อน แล้วค่อยจำครับ จะได้นำความรู้ไปใช้งานจริง และประยุกต์ได้
- อย่าเอาแต่อ่านเนื้อหาอย่างเดียว ให้ Challenge ความจำของเราตลอดครับ ซึ่งตตรงนี้จะได้จากการทำโจทย์ และการ Quiz ตัวเองนี่แหละ มันจะทำให้เราจำเนื้อหาได้ดีขึ้น และพอเห็นว่าจุดไหนเป็น Key ที่ข้อสอบสามารถนำไปออกได้ครับ
- แนะนำกางสารบัญเนื้อหา หนังสือ ชั่วโมงเรียนติว และปริมาณโจทย์ทั้งหมดที่เราจะสอบ มาทำ Time-boxing บน Google Calendar เวลาการอ่านหนังสือของเราได้ดีขึ้น แต่ต้องทำตามตารางที่ตัวเองจัดด้วยนะ!
💡 สอบทำไม? เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง?
หลัก ๆ ผมต้องการนำใบอนุญาตไปใช้ให้คำแนะนำกับผู้รับคำปรึกษาในการวางแผนการเงินครับ โดยเฉพาะในพาร์ท Asset Allocation การมี IP จะทำให้สามารถออกแบบสัดส่วนการลงทุนตามประเภทหลักทรัพย์ให้เหมาะสมกับผู้รับคำปรึกษาได้ครับ อีกอย่างนึงก็คือผมอยากจะเอาความรู้มาพัฒนา Blog ที่เพื่อน ๆ กำลังอ่านกันนี่แหละ^^
อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเนื้อหาที่สอบไปนั้นก็ยังไม่พอสำหรับโลกการเงิน และการลงทุน ณ ปัจจุบันอยู่ดีครับ ยังมีอะไรอีกเยอะที่ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยครับ
สำหรับใครที่กำลังเตรียมสอบผมขอเป็นกำลังใจให้สอบรวดเดียวผ่านกันทุกคนเลยนะครับ ^^ ถ้าใครอยากให้แนะนำการสอบส่วนไหนเพิ่มทักเข้ามาได้ยินดีช่วยครับ

